หน้าเวทีเขาคือนักแสดงตลกหมอลำ ที่สร้างเสียงหัวเราะและมอบความบันเทิงผ่านบทเพลงให้กับผู้ชมมายาวนานกว่า 20 ปี แต่เบื้องหลังชีวิต “ปอยฝ้าย มาลัยพร” ต้องต่อสู้กับอาการแอลกอฮอล์ลิซึ่ม จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ด้วยกำลังใจและแรงฮึดสู้ วันนี้เขากลับมายิ้มได้อีกครั้ง
ชีวิตในวันนี้
เริ่มมารับงานแสดงตั้งแต่เรื่อง “นายฮ้อยทมิฬ” เป็นเรื่องแรก แล้วก็ยาวเรื่อยมาเลยครับ ตอนนี้ก็มีที่เล่นอยู่กับค่ายพอดีคำของ “พี่ธง” (ธงชัย ประสงค์สันติ) อยู่ 2 เรื่อง “ในคืนหนาวแสงดาวยังอุ่น” กับเรื่อง “ผู้บ่าวอินดี้ยาหยีอินเตอร์” ซึ่งเรื่องนี้เป็นแนวอีสานที่ถนัด (ยิ้ม) จะเรียกว่าตั้งใจที่จะมาเป็นนักแสดงเลยไหมก็ตั้งใจนะ เพราะว่ามันเป็นสิ่งใหม่ที่เราไม่เคย การได้มารับบทบาทเป็นตัวละครที่แตกต่างกันออกไป อาจจะคล้ายกับที่เราเล่นมิวสิกวีดีโอ แต่ว่าละครจะละเอียดกว่า และจังหวะการแสดงซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน เหมือนเราเป็นนักแสดงน้องใหม่ในวงการ แม้กระทั่งการยืนเรื่องมุมกล้องเราก็ไม่รู้ เพื่อนที่แสดงด้วยกันเขาก็จะช่วยบอก ต้องเรียนรู้ใหม่เลยเพราะว่ามันต่างกับตอนที่เราเล่นตลก คือการแสดงหน้าเวทีของเราก็พูดให้มันตลกแหละแต่สายตาเราไม่ได้สื่อออกไป แต่ละครมันต้องใช้หมดเลยทั้งสายตาและการแสดง แล้วพอเราปรับตัวได้เล่นได้ก็สนุกเลยครับ ทีมงานก็น่ารักทุกคนด้วย เราก็เลยไม่กดดันสบายๆ เป็นตัวของเรามีความเป็นตัวของปอยฝ้ายผสมไปในละครได้ด้วยซื่อๆ บ้านๆ
นอกจากนี้ก็ยังมีภาพยนตร์เรื่อง “นาคี 2” พอดีว่าทีมงานติดต่อมาก็รับคือตอนนี้มีอะไรมาถ้าเวลาเราได้ก็จะรับหมดเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำ หนังเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ ก็เลยจะจำกัดในเรื่องของมุขเรื่องการเล่นที่อาจจะไปตามฟิลของปอยฝ้ายมากไม่ได้ ต้องตามบทแต่ก็ได้พูดอีสานผสมด้วย ผมเล่นเป็นตำรวจเป็นจ่าคู่หูกับ “พี่อี๊ดโปงลางสะออน” เราเป็นลูกน้องของ “ณเดชน์” ซึ่งเขาเป็นสารวัตรมาจากกรุงเทพฯ สำหรับหนังก็ถือว่าเป็นประสบการณ์แรกในชีวิตเหมือนกันนะครับหนังยากกว่าละครนะอาจจะเป็นเพราะกล้องและเราจะต้องเล่นซ้ำหลายครั้งต้องให้อารมณ์เหมือนเดิม แต่ว่าละครบางครั้งเล่น 3 เทคไม่เหมือนกันก็ได้ ก็เลยต้องปรับตัวเองในการเล่นหนัง และได้มีโอกาสศึกษาผู้กำกับแต่ละคนไปด้วยว่าเขาทำงานแบบไหน
จากนักแสดงหน้าเวทีสู่นักแสดงในจอแก้ว
ก็เคยฝันไว้ครับ แต่คิดว่าก็คงจะยากที่เราจะเข้ามาตรงนี้ บันเทิงเหมือนกันแต่ว่ามันคนละกลุ่ม เราเป็นลูกทุ่งอีสานลูกทุ่งหมอลำเราจะไปได้ยังไง นอกจากว่ากระแสเรามีจริงๆ ซึ่งก็คงจะได้ไปเล่นแค่รับเชิญ เหมือนกับเพลงช่วงที่เราฮอตเขาเห็นเขาถึงจะเรียกเรา แต่ว่านี่เพลงผมก็ไม่ได้ฮอตเลยมีแต่ลงเพลงก็ไม่ได้ร้องนานแล้ว ถ้าพี่ธงไม่ติดต่อไปผมก็คงไม่มีโอกาสนี้ พอเราเปิดตัวกับนายฮ้อยทมิฬก็ทำให้ผู้จัดค่ายอื่นเขาเห็นว่าเราก็สามารถเล่นได้ แฟนๆ ก็ได้เห็นผลงานของเราพูดแล้วน้ำตามันก็จะไหล คือเป็นไปได้ยังไงได้มาเล่นละครที่ตัวเองเคยดูตั้งแต่สมัยเด็กๆ ผมก็ดูช่อง 7มาตลอด คำว่าเล่นละครมันไม่ได้เข้ามาง่ายๆ
ชีวิตในวันวาน
ผมเกิดที่อำเภอเฝ้าไร่ จังหวัดหนองคาย ชอบหมอลำมาตั้งแต่เด็กเลยครับ คือครอบครัวก็มีวงหมอลำเป็นหมอลำคู่หมอลำกลอนสมัยโบราณ ญาติๆ ก็เป็นหมอลำเยอะ เราก็ผูกพันพอเรียนจบ ป.6 ก็มาบวชเรียนที่อุดรฯ แต่ด้วยความชอบหมอลำใจมันก็เรียกร้อง ผ้าเหลืองร้อนเลย (หัวเราะ) บวชได้ 5 พรรษา หลังจากนั้นก็ลาสิกขาแล้วมาอยู่กับ “คุณแม่นกน้อย อุไรพร”วงเสียงอิสาน มาเป็นนักร้องประจำวงร้องเพลงทั่วไปของนักร้องที่ดังๆ ในยุคนั้น พออยู่ไปสัก 2-3 ปี ก็เริ่มมีฉากตลกผู้ใหญ่มองเห็นแววก็เลยได้ขึ้นเล่นตลกหน้าเวที ร่วมกับนักแสดงรุ่นผู้ใหญ่ที่เขาเล่นประจำกันอยู่แล้ว พอได้มาลำเรื่องมาแสดงเราก็ได้เล่นเป็นตัวที่หลากหลายเป็นพระเอก เป็นคนแก่ เป็นเด็กนักเรียน การแสดงตรงนั้นก็ถือว่าท้าทายเพราะว่าไม่ได้มีบทสคริปต์เขาจะมีโครงเรื่องมานิดหน่อยแล้วเราก็ต้องเล่นเองนัดแนะกันเองว่าจะเล่นยังไง แต่ละคนต้องหาอะไรมาเล่นต้องช่วยเหลือตัวเอง ช่วงนั้นงานเรามีทุกวันเล่นทุกวันเราก็เก็บๆ แล้วมาเล่นต่อ ผมก็เลยศึกษาจังหวะมันก็ประโยชน์นะพอเรามาเล่นละครเราก็ได้เอาจังหวะในการเล่นตลกมาใช้คือ อย่าเร็วอย่าช้า
ที่มาของชื่อ ‘ปอยฝ้าย มาลัยพร’
ผมชื่อจริงว่า “ดวงจันทร์ มาลัย” ที่มาของชื่อ “ปอยฝ้าย มาลัยพร” นี่ผมแอบตั้งเองกับหลวงพ่อครับ(ยิ้ม) ก่อนที่ผมจะสึก คือในวงเขาจะมี “ลูกแพร ไหมไทย”คำว่าไหม แพร มันก็เป็นเครื่องถักทอ เราก็เลยคิดว่าถ้าเราสึกออกไปเราเอาชื่อฝ้ายดีกว่าไหม มันก็เป็นเครื่องถักทอประเภทเดียวกันมี แพร ไหม ฝ้าย ก็เลยไปเสนอคุณแม่นกน้อย ตอนแรกตั้งว่าปุยฝ้าย แต่ก็คิดว่าเอาปอยดีกว่าไหม คำว่าปอยภาษาอีสานมันเหมือนเป็นกระจุก คุณแม่ก็เลยโอเคให้ผ่านสำหรับชื่อปอยฝ้าย ส่วนนามสกุลมาลัยของเราแต่เติมพรเข้าไป รู้สึกว่าเท่มากเลยนะชื่อเรา อย่างน้อยเราเป็นหมอลำแล้วเราก็มีฉายาเป็นของตัวเอง
กับกระแสความโด่งดัง
ช่วงนั้นเป็นยุคที่วีซีดีกำลังมา คือจากม้วนเทปมาเป็นวีซีดี ถ้าถามถึงความฮอตก็ค่อนข้างฮอตนะครับแต่ว่าไม่ใช่เพราะเราคนเดียว ดังทั้งวงมันหนุนกันช่วยกัน ผมเริ่มมีชื่อเสียงมากตอนที่มาเล่นตลกเป็นยาย คือเป็นคนแก่ วีซีดีขายดีมาก เพลงยังไม่ติดนะแต่เล่นตลกคนชอบมากก็ขายบันทึกสดหน้าเวที วีซีดีเสียงอีสานยุคนั้นฮอตมาก แล้วในชุดนั้นมันจะมีเพลงที่ชื่อว่าตลกอกหัก คนก็เริ่มรู้จักเราเพราะว่าเราเอาเพลงมาร้องประกอบในเรื่องตลกที่เราเล่น เรื่องมันก็เข้ากัน จากนั้นก็เลยได้อัดเพลงร้องเพลงมาเรื่อยได้ออกอัลบั้มอยู่หลายชุด เพลง “กะเทยประท้วง” ก็เป็นอีกเพลงที่ดัง คนรู้จักผมมากขึ้นรายได้ตอนนั้นก็ถือว่าดี เรามีเงินมาเลี้ยงดูตัวเองมาจุนเจือครอบครัว แม้ว่าค่าตัวจะไม่ได้เยอะมากแต่เราก็พอใจในสิ่งนั้น
เข้าสู่วงเวียนของแอลกอฮอล์
อยู่วงแม่นกน้อยมา 20 ปี เราก็กินมาเรื่อยๆ นะแอลกอฮอล์ วันนึงกระป๋องนึงสปายอ่อนๆ แล้วก็พัฒนามาเป็นเบียร์ มาเป็นเหล้าแบน เหล้าขาว แอลกอฮอล์มันสะสมเรื่อยๆ ที่ผมติดหนักๆ ก็ประมาณ 4 ปี ก่อนจะมาบำบัด มือสั่นต้องเอาแอลกอฮอล์เข้าร่างกาย ผมพยายามหักดิบเองจนต้องถูกหามส่งโรงพยาบาล รู้สึกตกใจกับชีวิตตัวเองมากว่าเรากินเหล้าหนักจนถึงขั้นติดเหล้าและกลายเป็นคนป่วยไปเลยเหรอ ตกใจจนบางครั้งหาทางออกไม่เจอ ความรู้สึกมันเหมือนเราตกลงไปในเหวลึก เราอยากขึ้นนะแต่ว่าเราขึ้นมาไม่ได้ ถามว่ามีปัญหาชีวิตอะไรถึงทำให้ไปติดเหล้า ผมว่าปัญหาชีวิตมันก็มีกันทุกคนนะ แล้วพอเรายิ่งดื่มมันก็ยิ่งไปกันใหญ่เพราะว่าแอลกอฮอล์มันพาไป คนปกติเขาร้องไห้เขาก็จะมีสติยับยั้ง แต่คนดื่มมันก็จะยิ่งเท่าตัวปัญหาแค่นี้แต่มันก็จะเหมือนเยอะ แต่ไม่เคยคิดสั้น เคยคิดแค่ว่าจะไม่เอาอะไรแล้วจะไปบวชไปคนเดียวไม่มีเงินสักบาทก็ไป และเป็นช่วงที่เราออกมาจากคณะเสียงอิสาน คือด้วยความที่เราอิ่มตัว และอีกอย่างก็เพราะสุขภาพเรารู้ว่าเราติดเหล้าไม่อยากทำงานบางครั้งเราทำงานเสียเราก็ไม่อยากให้คนอื่นเขามาเดือดร้อนเพราะเรา ร้องเพลงก็หลับหน้าเวทีล้มลงเลย คือคนมันเมาใจมันไปแต่ร่างกายไม่ให้ ผู้ชมก็จะว่าเราแกล้ง อุ๊ย!เมาเหมือนจัง ที่จริงแล้วเราเมาจริงๆ เพลง “มันต้องถอน”เป็นเพลงที่มาจากชีวิตผมด้วย คือคนแต่งเขาก็รู้ว่าอาการคนเมามันเป็นยังไงก็เลยกลายเป็นว่าเนื้อเพลงเป็นเรื่องของเราเลย คุยกันหน้าห้องอัดเลย เพลงดังมากฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองแต่ว่าร่างกายผมแย่
บำบัดจนชนะขาดจากแอลกอฮอล์
สู้กับการบำบัดมาตลอดนะพยายามสู้หลายครั้งหลายหนไปวัดป่าก็ไป สาบานกับหลวงพ่อ แต่ใจส่วนหนึ่งเราก็ยังไม่มั่นใจนะว่าเราจะทำได้หรือเปล่า แต่ส่วนหนึ่งคือเราก็ทำให้ครอบครัวสบายใจขึ้น คนรอบข้างโดยเฉพาะภรรยา (มัย-วิภานัท เบญจมาลัยพร)เขาดีใจมาก แต่ว่าพอเราเลิกได้สักเดือนนึงเราก็กลับมากินอีกมันเป็นแบบนี้หลายครั้งหลายหน ไปสาบานแล้วก็สาบานอีกซึ่งมันก็ไม่ดี ผมเลยตัดสินใจเข้ามาบำบัดที่สถาบันธัญญารักษ์เรามาตามหมอดีกว่าถ้าเราหักดิบเองคงจะไม่ไหว ต้องมาศึกษามาปรึกษาจิตแพทย์ ก็ดีขึ้น แต่ผมมีหลุดนะเลิกได้ปีนึงมีหลุด 1 อาทิตย์ ก็พยายามดึงตัวเองกลับมาทุกวันนี้คือเลิกเด็ดขาดแล้วครับผมมีความสุขดี แล้วมันทำให้เรามองอนาคตได้ จากที่เมื่อก่อนเราติดเหล้าเรามองอะไรไม่เห็นเลย คิดว่าคงจะตาย กินไปมือลูบตับไป มันเจ็บแล้วก็กังวลว่าข้างในมันไปถึงไหนแล้ว แต่ถ้าไม่กินก็ไม่ได้เพราะว่ามันทรมานอ่อนแรงขาสั่นมือสั่น พอเลิกเด็ดขาดสุขภาพดีขึ้น แต่ผมไม่มีลูกมีแต่ภรรยาสาเหตุที่ไม่มีลูกก็เพราะแอลกอฮอล์นี่แหละ ก็ไม่เป็นไรภรรยาเขาแฮปปี้มากบอกว่าเหมือนถูกรางวัลที่ 1 ชีวิตเราดีขึ้นสุขภาพร่างกายก็ดีขึ้น ไม่ทะเลาะกันเหมือนก่อนภรรยาผมเป็นคนนอกวงการครับคือเขาเป็นแฟนคลับเรานี่แหละ มาตามบ่อยๆ ก็เสร็จเราเลย (หัวเราะ)
มุ่งสู่งานแสดงอย่างจริงจัง
งานแสดงก็มีส่วนทำให้ผมเลิกเหล้าเพราะมันเป็นการบ้านใหม่สำหรับเรา มันพลาดไม่ได้แล้วนะ ถ้าเราพลาดอนาคตเราก็จบ ส่วนงานเพลงก็ยังทำอยู่ครับมีลงยูทูบเรื่อยๆ เรื่องมึนเมาผมว่าชีวิตผมน่าจะพอแล้วนะ มันเป็นประสบการณ์ที่มาทำให้เราสงสัยว่าข้างในเราเป็นอะไร ก็พอแล้วล่ะ แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ต่อไปก็คือการแสดงที่ตอนนี้ถือว่าเราก้าวเข้ามาเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว และทุกวันนี้ผมเริ่มหันหาธรรมชาตินะปลูกผักกินเองเริ่มหาสิ่งใหม่ๆ เข้ามา ยิ่งเราได้มาทำงานกับพี่ธง แล้วพี่ธงพาเข้าไปหาพระก็สนุกดีมีธรรมะเป็นที่ยึดเหนี่ยวและนำทางชีวิต
ส่งต่อกำลังใจไปถึงคนที่อยากจะเลิก
ก็อยากให้กำลังใจสำหรับผู้ที่ติดแอลกอฮอล์และคิดที่จะเลิกนะครับผมเชื่อว่าลึกๆ แล้วคนที่ติดเหล้าเขาอยากหยุดนะใจท่านอยากหยุดแต่สมองนี่สิซึ่งมันเลยคำว่าใจแล้วนะ มันไม่ใช่อยู่ที่ใจคนที่ติดจริงๆ คือสมองมันสั่งถ้าหยุดเองจะถึงขั้นช็อกตายได้ ดีที่สุดคือถ้าคุณอยากจะเลิกขอกุญแจดอกแรกก็คือคุณตั้งใจว่าจะเลิกแค่นี้ก็เป็นประตูที่สำคัญแล้วครับ แล้วคนที่เป็นภรรยาก็ต้องมองว่าแฟนเราเป็นคนป่วย และต้องเข้าใจเขา แฟนผมถึงขนาดไปซื้อให้ผมนะเขารู้ว่าเราป่วย ถ้าคุณอยากจะลดละเลิกได้ด้วยตัวเองก็ทำ แต่ถ้าจะให้ถูกต้องควรจะไปปรึกษาแพทย์ สถานบำบัดเยอะแยะเลย เพราะถ้าเราเลิกเองแบบไม่ถูกวิธีมันก็อาจจะตายได้
อีกหนึ่งกำลังใจสำคัญ
ทุกวันนี้ผมไปไหนมาไหนแฟนๆ ก็เข้ามาทักทายให้กำลังใจ พอเลิกได้เนี่ยแฟนๆ เขาก็ดีใจนะ พี่ปอยฝ้าย กลับมาแล้ว เขาอยากเห็นผลงานเราอยู่ ไม่น่าจะเอาชีวิตและชื่อเสียงที่เราสร้างมาไปทิ้งตรงนั้นเลย มันไม่คุ้มกันที่จะมาตายเพราะเหล้ามีอีกหลายอย่างที่เรายังค้นหาในตัวเราไม่เจอ อย่างเช่นงานแสดงหนังละครซึ่งเราก็เพิ่งจะได้มาสัมผัส เพิ่งจะมาค้นพบว่าเราก็มีความสามารถตรงนี้ การที่แฟนคลับให้กำลังใจเรา มันก็เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มันกำลังจะตายแล้วได้ปุ๋ย ก็เลยทำให้ฟื้นขึ้นมาใหม่เพราะว่าตอนที่เราติดเหล้างานสังคมเราก็แย่ ผู้ใหญ่ก็มองเราแย่ ต่อรองกับสังคมก็ไม่ได้คือพูดอะไรไปใครเขาก็ไม่เชื่อมั่นไม่น่าเชื่อถือ บุคลิกก็ไม่ดีมันลามไปหมดเลยครับ ร่างกายเราก็เสีย การเมาการดื่มมันเป็นความสุขแค่ช่วงที่มันออกฤทธิ์ แต่หลังจากนั้นมันเป็นความทุกข์ การไม่ดื่มเหล้าก็สนุกได้เฮฮาได้สนุกแบบเอาตัวเองกลับบ้านได้คือความสุขที่แท้จริงนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ผมกล้าประกาศกับสังคมเพราะว่ามันจะเป็นกำแพงกั้นเรา คือเราไปพูดต่อสื่อแล้วนะว่าเราจะเลิก ถ้าจะกลับไปดื่มอีกก็ไม่ได้แล้วนะ เป็นการดัดนิสัยตัวเอง
ต่อสู้จนสามารถชนะขาดจากแอลกอฮอล์มาได้และมีผู้ใหญ่ที่หยิบยื่นโอกาสดีๆ มาให้อีกด้วย สนุกแบบมีสติ สนุกแบบไร้แอลกอฮอล์ก็ทำให้มีความสุขได้ยืนยันจากผู้มีประสบการณ์ตรง “ปอยฝ้าย มาลัยพร”
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี