ด้วยพลังเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งการร้องและสไตล์เพลง แฟนเพลงจึงคุ้นเคยกันดีกับ “อู๋-ธรรพ์ณธร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา” เจ้าของเพลงฮิตในยุค 90 อย่าง “หัวใจกระดาษ” ซึ่งกว่าที่เขาจะผ่านนานาอุปสรรคมาถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยใจรักบวกกับความมุ่งมั่น ทำให้เขายืนหยัดในอาชีพนี้อย่างเข้มแข็ง พร้อมเดินหน้าสู่บทบาทหน้าที่ใหม่ๆ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ชีวิตวัยเด็ก
ค่อนข้างเป็นคนเรียบร้อย เพราะว่าที่บ้านจะมีกรอบพอสมควรครับ เนื่องจากคุณพ่อเป็นทหาร คุณย่าเคยทำงานในวัง ก็จะเป็นคนเจ้าระเบียบมาก ต้องทำขนมไทย ทำความสะอาดบ้านเอง ต้องทำหมากพลูให้คุณย่า ฉะนั้นผมก็จะถูกเลี้ยงอยู่ในกรอบมาก ถ้าทำผิด ก็มีการเฆี่ยนตี เรียกว่าโตมากับไม้เรียว แต่ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ ฝึกให้เราเป็นคนมีความรับผิดชอบในตัวเอง อย่างเวลากลับจากโรงเรียน ก็ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนถึงจะได้ออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ
ความสนใจช่วงวัยเรียน
โตขึ้นมาประมาณหนึ่ง ผมก็ไปเรียนศิลปะ การวาดรูป สมัยนั้นได้มีส่งเข้าประกวดกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนอยู่เรื่อยๆ เรียนก็จะอยู่สายศิลป์ภาษา แล้วพอจะต้องเรียนต่อ ก็ไปสอบเข้าเทคนิค ซึ่งติดด้านสถาปัตย์ แต่ที่บ้านไม่ให้เรียน กลัวไปมีเรื่องกับคนอื่น ก็เลยไปเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตอนนั้นเลือกเรียนมนุษยศาสตร์ ซึ่งจริงๆ ที่บ้านอยากให้เป็นทหาร รับราชการ แต่เราไม่ค่อยชอบ ก็เลยไปเรียนในสิ่งที่ชอบและออกมาใช้ชีวิตเอง ฉะนั้นมหาวิทยาลัยรามคำแหงคือทางเลือกที่ดีที่สุดเราสามารถเรียนและทำงานหาเงินได้ด้วย เพราะถ้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแล้วต้องส่งตัวเองก็คงไม่ไหว
เริ่มต้นชีวิตการทำงาน
ผมเริ่มจากทำงานเป็นเบื้องหลัง เป็นฟรีแลนซ์งานแรกคือเกี่ยวกับโปรดักชั่นเฮ้าส์ ทำกับพี่หน่อย -อภิชาต พวงไพโรจน์ เป็นผู้กำกับหนัง และเขาเป็นเพื่อนกับพี่เอ๋-ไพโรจน์ สังวริบุตร โดยเริ่มจากไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็ไปเรียนรู้เรื่องการเขียน Story Board ไปทำสคริปต์ ทำ Content และได้รับมอบหมายให้ดูแลโปรเจกท์ของแหลมฉบัง ก็ไปถ่ายสารคดี แล้วในบริษัทก็มีทำพวก MV ด้วย ก็จะได้ทำหลายๆ อย่าง และมีพี่ๆ ในกองถ่ายช่วยดู แต่ส่วนใหญ่ผมจะดูเรื่องอาร์ตฉาก ความสวยงาม Composition Location อะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานศิลป์ เรารับหมดเลย ก็ทำอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายมาจบที่ แดส เอนเตอร์เทนเมนท์จำกัด (DASS ENTERTAINMENT) บริษัทการละครแห่งแรกของประเทศไทย มาเล่นละครเวที แต่ก็ยังทำเป็นเบื้องหลังด้วย อย่างพี่ผัดไท (ดีใจ ดีดีดี) พี่นุ่น (ดารัณฐิตะกวิน หรือ รุ้งทอง ร่วมทอง) ก็รู้จักมาตั้งแต่สมัย แดสฯ โดยไปเป็นลูกน้องพี่เอ้ก-ฉลาดเลิศ ตุงคะมณีซึ่งพี่เอ้กก็จะดูแลเรื่องฉากทั้งหมด เราก็ทำพร็อพ พี่เอ้กก็จะสอนให้ดูเรื่อง ไลท์ติ้ง แบ๊กสเตจ ทำฉาก ทำมาหมดแล้วครับ
พัฒนางานอย่างต่อเนื่อง
ผมเริ่มเดินทางสู่สายงานการเป็นนักแสดง แต่ในระหว่างนั้น เราก็ร้องเพลงไปด้วย แล้วมีไปเล่นละครเวทีอยู่เรื่องหนึ่ง พอดีว่ารู้จักกับพี่ไก่-สุธี แสงเสรีชน ตอนนั้นพี่ไก่ให้มาร้องเพลงประกอบละครเวที หลังจากนั้นผมก็กลับไปเรียนรามฯต่อ จนกระทั่งใกล้ๆ จะจบ ประมาณปีที่ 4-5 ก็เข้าไปทำงานเป็นฟรีแลนซ์ที่อาร์เอส แต่ยังไม่ได้เป็นนักร้องนะครับ เป็นผู้ช่วยอาร์ตไดเร็กเตอร์ทำเพลงลูกทุ่ง แล้วก็มาทำเพลงป๊อป ก็เป็นทีมงานฟรีแลนซ์อยู่พักใหญ่ๆ
งานเบื้องหลังผลักดันให้เป็นคนเบื้องหน้า
คงเหมือนพระเจ้ากำหนดมามั้งครับ (หัวเราะ) ทำให้เราได้เรียนรู้ เพราะถ้าเราจะรู้อะไรจริงๆ ก็ต้องรู้ให้ครบทุกอย่าง คงเป็นความโชคดีของเรา คือหลังจากที่ไปประกวดร้องเพลงของสยามกลการ ก็เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมายกับชีวิตผม มีโอกาสได้คุยกับคุณปีเตอร์(ค่ายโซนี่มิวสิค) เขาบอกว่า ให้ไปหาเครดิตให้กับตัวเองก่อน ว่าตัวเองต้องการทำอะไร เพราะเรายังโนเนม เราก็เลยไปประกวดร้องเพลงของสยามกลการ ปีแรกติด 1 ใน 20 คน ปีที่สองติด 1 ใน 10 แต่เราก็สละสิทธิ์ เพราะเราจะไปทำอัลบั้ม แต่สุดท้ายไม่ได้ทำ เพราะโปรเจกท์ล้มเลิกไป เลยเศร้าอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็มาออกอัลบั้มชุดแรกกับพี่ไก่-สุธี แสงเสรีชน ในชื่อชุด “TNT” แต่ก่อนหน้าก็มีร้องเพลงประกอบโฆษณาหลายๆ เพลง และ “TNT” นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของการทำงานในวงการดนตรี เป็นศิลปินเดี่ยว ถูกจัดไปไว้ในโหมด อัลเทอร์เนทีฟร็อก แล้วช่วงนั้นก็จะมีวง โมเดิร์นด็อก, แบล็คเฮด, ป้าง-นครินทร์ กิ่งศักดิ์ ฯลฯ ที่เกิดมาพร้อมๆ กันครับ
ทิ้งงานดนตรี เพื่อไปเรียนต่อ
ช่วงที่เป็นนักร้องนักดนตรี จู่ๆ ก็รู้สึกเบื่อ พอทำอัลบั้มแรกเสร็จ โปรโมทเรียบร้อย ผมก็ไปเรียนต่อในเรื่อง อินทีเรีย ดีไซเนอร์ ที่ออสเตรเลีย ประมาณ 4 ปี เรียนด้วยเงินของตัวเอง และก็ไปทำงานร้านอาหารที่นั่นด้วย เป็นดีเจในร้านอาหาร หลังจากเรียนจบก็กลับเมืองไทยกะว่าจะมาทำงานด้านดีไซเนอร์ เพราะอยากเป็นดีไซเนอร์ตอนนั้นก็มีรับจ้างเขียนแบบ ออกแบบโลโก้ เรียกว่ากลับมาก็มีงานเลย คือผมเป็นคนที่ชอบทำตามใจตัวเอง อะไรที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ก็จะทำ แล้วก็อยากจะตามใจในสิ่งที่เราอยากจะเป็นจริงๆ อย่างที่บอกพอจบจากออสเตรเลียตอนแรกว่าจะมาเป็นดีไซเนอร์ใช่ไหม ปรากฏว่าจับพลัดจับผลู ยังไงไม่รู้ ก็ต้องมาออกอัลบั้มอีก นั่นก็คือ “หัวใจกระดาษ” ก็กลับมาในแวดวงดนตรีอีกครั้ง ซึ่งความอีโก้ ความเอาแต่ใจตัวเองก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ได้คิดว่าตัวเองดังนะแค่คิดว่าเราเป็นคนหนึ่งที่ทำงานด้านนี้ แต่มันก็จะมีมุมมองของความมีรสนิยมส่วนตัวสูง จริงๆ แล้วเป็นอัลบั้มที่มีเพลงที่ดีนะครับ แต่ว่าบางทีมันไม่ใช่สำหรับเรา เพราะเรารู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป จากนั้นเราก็ศึกษาเรื่องดนตรีมาโดยตลอด จนกระทั่งเปลี่ยนค่ายมาอยู่แกรมมี่ มาอยู่กับพี่ป้อม ทำเพลงเป็นโคฟเวอร์พี่บิลลี่ แล้วก็อีกอัลบั้มหนึ่ง ไปรวมกับแบล็คเฮด วงซีล ส่วนงานอินทีเรียก็รับบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้องเพลง
หลากหลายผลงาน จากความตั้งใจ
ผมเคยทำบริษัทออกาไนเซอร์ อยู่แถวสุขุมวิท ทำกับเพื่อน เพื่อรับงานอีเว้นท์เท่ๆ แปลกๆ ทำแบบว่าเอากำไรไว้ทีหลัง ขอทำงานไปก่อน (หัวเราะร่วน) แต่สุดท้ายก็มาเรียนรู้ว่าจริงๆ แล้ว บริษัทก็ต้องเดินหน้าต่อไปจะมามัวแต่ตามหาแรงบันดาลใจตามอารมณ์ตัวเองแต่ไม่มีเงินเก็บ (หัวเราะ) ก็เป็นเรื่องเศร้าหลายบรรทัดเหมือนกัน เป็นประสบการณ์ที่ดี ส่วนงานอื่นๆ ก็มีไปทำ Commentator คัดเลือกคน ให้กับ Thailand’s Got Talent ปีที่ 1 และ 2 แล้วก็ไปเป็นกรรมการและทีมมิวสิค ไดเร็กเตอร์ของ KPN Music Award แล้วก็เข้ามาทำคอนเสิร์ตเพลงสุนทราภรณ์ 2019 “บ้านเรือนเคียงกัน สุนทราภรณ์เดอะมิวสิคัล” โดยได้รับหน้าที่เป็นมิวสิค ไดเร็คเตอร์ ครับ
ความยากง่ายกับหน้าที่ที่ท้าทาย
ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ พี่ๆ ทีมงาน ขอบคุณโปรดิวเซอร์ทุกท่าน ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทุกวันนี้ก็ยังปรึกษาหารือกับพี่ๆ ผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน เวลาเริ่มทำเพลง แต่สุดท้ายผมว่ามันก็เป็นโอกาสที่เราจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่บังเอิญเราก็พอรู้เรื่องละครเวทีมาบ้าง เคยผ่านมาบ้าง มันก็เลยค่อนข้างไปได้ง่าย ไม่ต้องเริ่มค้นคว้าอะไรมาก แต่ก็ยังต้องค้นคว้าและศึกษาเรียนรู้อยู่นะครับ เพราะว่าแต่ละเรื่องแต่ละปีจะไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะปีนี้ จะเป็นแฟนตาซี การ์ตูน สีสันสดใส รื่นอารมณ์เพลง ก็จะมีหลากหลายแนว ถ่ายทอดออกมาให้ดูทันสมัย ถ้าให้นึกถึงก็จะต้องนึกถึงแบบ ทอมเเอนด์เจอร์รี่
เสน่ห์ของเพลงสุนทราภรณ์ที่อยากบอก
ต้องบอกก่อนว่าเพลงสุนทราภรณ์เป็นเพลงที่เป็นมรดกของโลก เพลงสุนทราภรณ์เป็นเพลงที่มีอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง แล้วใน Category ต่างๆ สุนทราภรณ์ค่อนข้างจะมีอยู่เยอะ ตั้งแต่เพลงมาร์ชเพลงปลุกใจ เพลงรื่นเริง เทศกาลต่างๆ เพลงสถาบัน เพลงรำวง เพลงลีลาส เพลงร็อก เพลงแจ๊ส ฯลฯ เนื้อหาก็จะครอบคลุมไปหมด ก็จะมีแนวเพลงสตริง เพลงลูกกรุงเพลงลูกทุ่ง เพลงไทยสากล เพลงไทย แล้วก็จะมีเพลงสไตล์สุนทราภรณ์ด้วย สมัยเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ให้ฟังตอนนั้นผมก็รู้สึกว่ารบกวนโสตประสาทเรามากเลย (หัวเราะ) แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่ากลับมาสะสมไวนิลสะสมแผ่นเสียง ชอบฟังเพลงสุนทราภรณ์มากขึ้น เพราะกว่าจะได้ฟังมันมีขั้นตอนเยอะดี จะต้องวางแผ่น วางเข็มมันต้องมีเทคนิคพิถีพิถัน ต้องยกเข็มแล้วไปวางตามร่องต่างๆ ให้ถูกด้วย ไม่ใช่กดปุ๊บได้ฟังเลย คือเราต้องมีเวลาที่จะฟังจริงๆ
ความพิเศษของ สุนทราภรณ์เดอะมิวสิคัล ปีนี้
อย่างที่บอกว่าเพลงสุนทราภรณ์จะมีความละเมียดละไมละมุน ก็ได้มีการคุยกับผู้ใหญ่ในการทำงาน ซึ่งผู้ใหญ่ให้อิสระเต็มที่ เรายังคงความเป็นเพลงสุนทราภรณ์ไว้อยู่ แค่จะปรับให้เหมาะกับสถานการณ์นั้นๆ แล้วผมเชื่อว่าแฟนเพลงสุนทราภรณ์เยอะมากนะ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า เวลามาดูสุนทราภรณ์เดอะมิวสิคัล ก็จะพาเด็กๆ มาดูด้วย แล้วเด็กๆ บางทีการตีความหรือความเข้าใจของเขาอาจจะ เอ๊ะอะไร ยังไง บางทีย้อนกลับมาที่เรา เรายังไม่ชอบเลย เพราะฉะนั้นเราก็จะพยายามทำออกมาให้เขาชอบ แล้วถ้าเขาชอบในตัวบทแล้ว ตัวเพลงเขาก็จะชอบขึ้นไปอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องประกอบไปด้วยนักแสดง คงไม่ใช่มิวสิค ไดเร็กเตอร์คนเดียว นักแสดงก็ต้องเก่ง ทุกคนมีความตั้งใจฝึกซ้อม ไม่ว่าจะเป็นทีมสวัสดิการ ทีมพีอาร์ ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่งั้นละครก็จะไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ถูกเผยแพร่ไป และทั้งนี้ทั้งนั้นผมเชื่อว่าในเรื่องของเพลง ถ้าคนรุ่นใหม่ประทับใจในรูปแบบที่เป็นมิวสิคัลนี้ เขาก็จะไปหาฟังว่า ออริจินัล มันคืออะไร เหมือนที่เราเคยชอบ แล้วไปหาฟังต้นฉบับเพลงนั้นๆ แต่ยังไงผมก็อยากจะให้ทุกคนที่เสียตังค์มาดูสนุก มีความสุขกลับไป แล้วก็ได้อะไรกลับบ้านไปด้วย นอกจากรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เช่นเพลงนี้เพราะดีนะ แล้วก็กลับไปหาฟังของเก่า เราไม่ได้บอกให้ฟังของเรานะครับ อยากให้ไปฟังเพลงสุนทราภรณ์จริงๆ แต่อยากให้มาดูกันเยอะๆ สำหรับ “บ้านเรือนเคียงกัน สุนทราภรณ์เดอะมิวสิคัล” รับรองว่าชมได้ทุกวัยจริงๆ สามารถซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา เริ่มการแสดง 2-31 มีนาคม 2562 แสดงเพียง10 รอบเท่านั้น
ชีวิตมีขึ้นมีลงต้องปรับตัวและตั้งรับ
ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีขึ้นมีลงปกติ ถ้าทำตัวให้ดาวน์ มันก็ดาวน์ ผมว่าอยู่ที่อารมณ์คนด้วยนะ คือก็ต้องคิดว่าทุกคนมีวงจรชีวิตที่หมุนขึ้น และตกลงมาผมเป็นคริสเตียน เราก็วางใจในพระเจ้า เราก็อธิษฐานกับพระเจ้า เชื่อใจ แล้วเราอยู่ด้วยความรัก เราเชื่อว่าการอธิษฐานกับพระเจ้า การทำอะไรทุกอย่างด้วยความรัก ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะ ปัจจุบันสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจหรือว่า อาการของสังคมทั่วๆ ไป มันฉาบฉวย ไม่ค่อยตกตะกอนเท่าไหร่ อย่างเช่น อารมณ์บางอย่าง โกรธเร็ว คิดถึงเหลือเกิน ฉันรักเธอมาก มันเร็วมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อน ต้องเขียนเป็นตัวหนังสือ แล้วกว่าตัวหนังสือจะเดินทางไปก็ใช้เวลาอยู่นาน แต่ปัจจุบันพิมพ์ปุ๊บถึงปั๊บ บอกว่ารักเขายังพิมพ์ผิดเลย (หัวเราะร่วน) สมัยก่อนมันมีการเรียนรู้รวมถึงชีวิตด้วย ปัจจุบันกลับหาได้ง่ายตามสตรีมมิงเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมดาวน์ลงมากๆ ก็ต้องไปอยู่กับเพื่อน ซึ่งเป็นธรรมดาครับ แต่ว่าจริงๆ แล้วสุดท้ายมันก็ต้องอยู่ด้วยตัวเอง เพราะจริงๆ แล้วเรามักจะมีคำตอบของเราอยู่แล้วล่ะ แต่บางทีก็แค่ต้องการกำลังใจที่ช่วยซัพพอร์ตเรา แต่วิธีคิดถ้าคิดบวกก็เป็นบวก ถ้าคิดลบก็เป็นลบ สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา
ทำในสิ่งที่ชอบอย่างสนุกสนาน
ผมเป็นคนชอบเที่ยว ชอบทานอาหาร ชอบฟังเพลง ปาร์ตี้ ทำงาน อยากจะทำอะไรก็ทำ โกลด์ของผมคืออยากให้ทุกอย่างที่เรารักที่เราชอบ อย่างเราชอบงานดีไซน์ ก็อยากจะให้มันอยู่ที่เดียวกัน เราอยากให้มันเป็นเหมือนบ้าน ที่เป็นบ้านที่มีความสุข อร่อย อิ่มเพลิดเพลิน ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเอาทุกสิ่งอย่างมารวมไว้ด้วยกันตอนนี้ก็พยายามอยู่ครับ แล้วตอนนี้ก็ทำโรงเรียนสอนดนตรีโรงเรียนยามาฮ่าดนตรี อยู่ชั้น 3เดอะไนน์ มีสอนร้องเพลงเปียโน กีตาร์ กลอง ก็เป็นแฟรนไชน์ที่ซื้อมาดูแลในสาขานี้ แล้วก็มีทำหลายอย่างมากเลยตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเชฟทำอาหารเพราะเพิ่งจบการเรียนทำอาหารมา คือก่อนหน้านั้นไปทำเป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่เกาะลันตาเราก็อยากจะรู้เรื่องอาหารไว้ เลยไปเรียนเพื่อจะได้รู้ว่า จะต้องทำยังไง แล้วก็มีไปเรียนคัทติ้งเนื้อ เพราะผมเป็นคนชอบทานเนื้อ แล้วก็เป็นบาริสต้าด้วย รวมถึงสนใจด้าน Aerial Acrobatics ไปปีนผ้า ซึ่งเพิ่งเล่นได้ไม่นานเพราะแฟนแนะนำให้รู้จักกับครูพลอย หลังจากเล่นมาสักพักก็ทำให้ผมลดน้ำหนักไปประมาณ 20 กว่ากิโลฯ เลย ก่อนหน้านี้ผมหนักอยู่ประมาณ 94 ตอนนี้เหลือประมาณ 72 ก็ได้สุขภาพที่ดีขึ้น และทำให้เราได้ความคิดที่เร็ว สดใสขึ้น ไม่หงุดหงิดง่ายด้วย เพราะฉะนั้นชีวิตมันต้องเดินทาง มันต้องมีความสุข เราไม่รู้ว่าชีวิตเราจะไปจบที่ตรงไหน แต่ถ้าเรามีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำแล้ว ใจเราก็สุขสงบเองครับ
วางรากฐานของครอบครัว
ก็พยายามซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน ทำทุกอย่างให้เหมือนวันแรกที่เรารู้จักกัน รากฐานก็คงต้องสร้างกันไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีบ้านหลังใหญ่หรือเงินเยอะแยะมากมาย ซึ่งจริงๆ มันก็ต้องมีแหละ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดมากกว่านั้นก็คือ ความรักและความเข้าใจซึ่งกันและกัน การให้อภัยซึ่งกันและกัน เพราะปัญหาหรือการทะเลาะย่อมมีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราทิ้งมันได้ แล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ค่อยๆ แก้ปัญหากันไป ก็จะผ่านไปได้ แต่มันต้องใช้ความรักเป็นหลัก ส่วนทายาทคงจะอีกสักพักครับ เพราะยังอยากจะไปเที่ยวกันอยู่ ขอไปเที่ยวกันก่อนนะ เพราะเราก็รู้จักกันมานานแล้ว 7-8 ปี แต่เพิ่งมาคบหากันจริงๆ ปีกว่าๆ นี้เองครับ
บั้นปลายชีวิต
ยังไม่รู้เลยครับ เพราะสิ่งที่คิดกับสิ่งที่เป็น อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ แค่อยากจะมีความสุขในทุกๆ วัน แล้วก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้อยู่กับสภาพแวดล้อมที่มันเป็นฝุ่นก็ได้ครับ (หัวเราะ) ผมว่าถ้าทุกคนช่วยกันดูแล เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ก็ต้องช่วยกันดูแล ไม่ใช่ไปด่าทอกันไป-มา ก็ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน สุดท้ายก็อยากจะมีความสุขตามอัตภาพ ไม่ได้ขออะไร แต่ว่าอยากให้มีรอยยิ้ม มีความรักที่ดี แค่นี้แหละครับชีวิตคนเรา
ยกให้เลยกับตำแหน่ง “นักเรียนรู้” เชื่อว่านอกจากตำแหน่ง มิวสิคไดเร็คเตอร์ ที่หนุ่ม “อู๋” รับผิดชอบในตอนนี้แล้ว พบเจอกันอีกที คงมีหน้าที่การงานใหม่มาให้อัพเดทได้ไม่จบ เพราะถ้าจะให้รวบรวม สิ่งที่เขามุ่งมั่นเรียนรู้ทั้งหมด เขียนเต็มพื้นที่คอลัมน์นี้ก็คงไม่พอค่ะ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี