นักแสดงวัยใสที่แฟนๆ รู้จักกันดีจากซีรี่ส์ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น ตั้งแต่ซีซั่น 1-3 ล่าสุดหนุ่มน้อยมากความสามารถ ที่ยิ่งโตยิ่งน่ารัก ตน-ต้นหน
ตันติเวชกุล กลับมาอีกครั้งในบทบาทของ “ทานพ” กับละครเรื่อง “เมียน้อย” ทางช่องจีเอ็มเอ็ม 25 เรียกว่าพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ทั้งงานละคร ภาพยนตร์ ตลอดจนงานด้านดนตรีที่เขารักและถนัด กับการทำอัลบั้มเพลงในสไตล์ของตัวเอง...หลายคนคงอยากทำความรู้จักหนุ่มน้อยที่ไม่ธรรมดาคนนี้กันให้มากขึ้น ไปเจาะลึกตัวตนของ “ตน” พร้อมๆ กันเลยเจ้าค่า
ชื่อนี้มีความหมาย
“ต้นหน” แปลว่าคนนำทางครับ ส่วน “ตน” เป็นชื่อเล่น ประมาณว่าเป็นตัวตนของตัวเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คือบ้านผมจะชื่อแปลกนะ พ่อชื่อ“นายตรง” ปู่ชื่อ “นายเตรียม” ทวดชื่อ “นายเต๋ง” อะไรอย่างนี้ เป็น ต.เต่าหมดเลย น้องชื่อ “ต้นตะวัน” ชื่อเล่นชื่อ “ตู” มาจากข้าวตู ส่วนผมตอนแรกจะชื่อว่า “นายตน” ด้วยซ้ำ แต่ว่ามันไม่เป็นมงคล ก็เลยเป็น “ต้นหน” ครับ (ยิ้ม)
ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง
เรื่องแรกที่ผมแสดงคือภาพยนตร์เรื่อง “Suck Seed ห่วยขั้นเทพ”ครับ เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ตอนนั้นมีโอกาสเล่นเป็นพี่เก้า-จิรายุ ตอนเด็ก ถ้าถามว่าเข้าวงการมาได้อย่างไร บอกเลยว่าเป็นอะไรที่ Random มาก คือผมไม่ได้มีความฝันว่าจะต้องเข้าวงการ ตอนนั้นเราอยู่ ป.6 ไม่มีความคิดเรื่องนี้เราเป็นเด็กขี้อายมาก แต่พอจบหนัง ก็ได้มีโอกาสมาเล่นเรื่องฮอร์โมนซีซั่น 1เล่นเป็นน้องพี่มาร์ช-จุฑาวุฒิ แล้วก็ได้เล่นอีกตอน ฮอร์โมนฯ ซีซั่น 2-3 โดยรับบทเป็นเภา และตอนนี้ที่ออนแอร์อยู่ก็มีละครเรื่อง เมียน้อย ทางช่อง GMM25 รับบทเป็น ทานพ น้องของพี่มุก-วรนิษฐ์ ครับ
ความใฝ่ฝันในตอนเด็ก
ผมอยากจะเป็นนักดนตรี ตอน ป.6 ก็เริ่มรู้แล้วว่าอยากเล่นดนตรี ตอนนั้นอยากเป็นนักเปียโน แต่ตอนนี้กลายเป็นได้เล่นกีตาร์แทน คือมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าการแสดงกับดนตรี เป็นศาสตร์ที่มีความใกล้เคียงกัน คืออย่างแรก เป็นศิลปะเหมือนกัน และก็เป็นการเล่าเรื่องเหมือนกัน เล่าเรื่อง เล่าความรู้สึก เล่าสิ่งที่ตัวละครได้เผชิญมา เป็นการถ่ายทอด เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ก็เลยหลอมรวมกันได้ ผมรู้สึกว่าไม่ได้ห่างไกลกันครับ
เมื่อต้องตัดสินใจครั้งใหญ่
ช่วงที่จบฮอร์โมนฯ มีงานติดต่อมาเยอะมากแต่เราก็ต้องเลือกจริงๆ เพราะว่าเราต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย แล้วผมเข้าคณะดุริยางค์ คือไม่ใช่ง่ายๆ มีคนบอกว่าดนตรีมันง่าย ซึ่งจริงๆ ยากนะครับ การที่ผมตัดสินใจเลือกเรียนในตอนนั้น ผมไม่เสียดายเลย เพราะผมเชื่อว่าเราก็มีเวลาเป็นของตัวเอง หมายความว่า ตอนนั้นอาจจะไม่ใช่เวลาของเราใครจะไปรู้ ถ้าเราเล่นซีรี่ส์สักเรื่อง อาจจะพังก็ได้ผมรู้สึกว่า อะไรที่ผ่านๆ มา มันดีอยู่แล้ว ในทุกๆ อย่างที่เราได้เลือก เราก็ไม่อยากจะกลับไปเสียใจทีหลัง
มุ่งมั่นและตั้งใจกับสิ่งที่เลือก
ตอนนี้เรียนอยู่ปี 2 คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่องเรียนหนักมากเหมือนกันครับ ผมแบ่งเวลายากอยู่เหมือนกัน การเรียน งานดนตรี แล้วก็งานแสดง คือคนละอย่างกันเลย เพราะดนตรีที่ผมเรียนไม่เหมือนกับดนตรีที่ผมทำผมเรียนแจ๊ส ก็เลยจะยากไปอีกแบบหนึ่ง แล้วก็ต้องแบ่งเวลาอ่านบทด้วย ฉะนั้นทุกๆ วันผมก็จะทำให้เป็นรูทีน พยายามทำให้ดีที่สุด ยอมรับและเรียนรู้ข้อผิดพลาดกันไปครับ
ครอบครัวช่วยซัพพอร์ต
พ่อผมเป็น Creative โฆษณาครับ แต่ว่าพ่อก็ไม่เคยเอาผมไปใช้เท่าไหร่ (หัวเราะร่วน) เพราะว่าเดี๋ยวคนจะมองว่าเด็กเส้นหรือเปล่า พ่อเคารพการตัดสินใจของเรา ซึ่งเราเองก็ไม่ค่อยชอบการใช้เส้นสายด้วย เพราะเราคิดว่าสุดท้ายความสามารถมันคือสิ่งที่ตอบโจทย์ ผมรู้สึกว่าถ้าเขาฝาก เราจะไม่ได้เล่นในบทที่เราอยากจะเล่นจริงๆ หรือจากความสามารถของเราจริงๆ ส่วนแม่ผมเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทบาทที่อยากเล่น
บทคนเป็นโรคซึมเศร้า เราอยากเล่นมาก แต่มันเป็นบทที่ไกลตัวเรา เพราะบทที่ได้รับก็จะเป็นบทเด็กๆ ซะส่วนใหญ่ แต่ความฝันของผมในด้านการแสดง ผมอยากจะแสดงในบทที่ยาก พวกแบบฆาตกรต่อเนื่องอะไรแบบนี้ จริงๆ นะ ผมว่ามันท้าทายผมอยากให้คนลบภาพที่เราดูเด็ก แต่ผมว่ามันต้องใช้เวลา ซึ่งมันคือความฝันของผมครับ สักวันต้องทำให้ได้
ไอดอลทางการแสดง
ผมชอบหนังฝรั่งมากๆ เลย ช่วงนี้ผมอินกับซีรี่ส์เน็ตฟลิกซ์ Black Mirror หรือ Stranger Thing อะไรแบบนี้ คือถ้าจะถามว่าชอบการแสดงของใคร ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องๆ มากกว่าครับ อย่าง “ฮีธเลดเจอร์” คนที่เล่นเป็นโจ๊กเกอร์ที่เสียชีวิตไปแล้ว และอีกคนคือ “ลีโอนาโด ดิคาปริโอ” ผมจะเป็นคนชอบสายฝรั่ง อย่างเรื่อง Batman จริง ๆ ผมก็ดูหนังตลาดด้วยนะ คือผมค่อนข้างเปิดกว้างครับ
งานดนตรีที่ชอบและถนัด
ตอนนี้ผมทำเพลงอยู่กับค่าย What The Duck Music ทำร่วมกับพี่อัด-อวัช รัตนปิณฑะชื่ออัลบั้มว่า Memos ในนาม วง Mints ครับ ก็มีปล่อยเพลงไปบ้างแล้ว ทั้งหมด 6EP ปีนี้น่าจะได้ฟังกันเต็มๆ ครับ
จริงจังกับการใช้ชีวิต
มีอยู่ช่วงหนึ่งผมว่างครับ ตอนนั้นก็ช่วงอายุ 17-18 ผมรู้สึกว่ามันเครียดเกินไป กดดันตัวเองผมเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นมากมาย ตอนทำเพลงผมก็เอาตัวเองไปเทียบกับฝรั่งพวก Rex Orangeที่แบบอายุ 20 ปี แต่เขาได้ทัวร์ต่างประเทศ คือมันคนละบริบทกันเลย แบบประสาท จนหลังๆ มาผมไม่คิดแล้ว แต่ผมก็โชคดีที่มีอาจารย์หลายท่านทั้งในด้านการแสดง ดนตรี ทุกๆ คน รวมทั้งพี่ๆในวงการที่แนะนำ หรือครูที่สอนแอ๊กติ้ง เวลาที่เรามีปัญหาเราก็จะปรึกษาเขา มันเป็นอะไรที่ช่วยทำให้เราสบายใจขึ้นได้
ความฝัน ความหวัง และอนาคตต่อจากนี้
จริงๆ ผมชอบวางเป้าหมายระยะสั้นมากกว่า เราไม่ได้อยากจะกดดันตัวเอง อย่างเล่นดนตรี ทุกคน ก็จะถามว่า อีก 10 ปีข้างหน้า เราคาดหวังอะไร ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดว่า อีก 10 ปี เราต้องไปเล่นอิมแพ็ค อารีน่านะ เราต้องมีคอนเสิร์ตเดี่ยวเป็นของตัวเองนะ แต่ผมคิดว่าอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ วันหนึ่งวงอาจจะแตกเรื่องการแสดงก็เหมือนกัน ใครจะรู้ ผมอาจจะแสดงไม่ได้แล้วก็ได้ บางที่ผลงานที่ผมแสดงออกมามันอาจจะไม่ดี ทำให้ผมดับไปต่อไม่ได้ ผมก็เลยมองว่า ทำโอกาสที่เราได้รับให้ดีที่สุดครับ ทำทุกอย่างที่อยู่ในปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า ทำโอกาสที่ได้ให้ดีที่สุด และพร้อมที่จะรับโอกาสใหม่ๆ เสมอ ถ้าเราทำมันออกมาดีมันก็คงจะดีครับ
สำหรับแฟนๆ ที่อยากทำความรู้จักหนุ่มคนนี้ให้มากขึ้น สามารถกดติดตามดูความเป็นไปของเขาได้ที่อินสตาแกรม @toncrossbody เจ้าค่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี