“มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร” กลายเป็นนักแสดงสาววัยใส ที่กำลังถูกจับตามองในขณะนี้ หลังได้รับบทบาทสุดท้าทายในภาพยนตร์ไทยมาแรง “แสงกระสือ”ซึ่งเธอเผยว่าตั้งใจก้าวเข้ามาในวงการด้วยความรัก และเพื่อสานฝันของ คุณแม่ ให้เป็นจริง
ก้าวแรกในวงการบันเทิง
มินเริ่มเข้าวงการจากการประกวด Young Model 2015 แล้วได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ตอนนั้นคือเพื่อนชวนไปประกวดค่ะ แต่ปรากฏว่าเราได้เข้ารอบ แต่เพื่อนไม่ได้ (ยิ้ม) ซึ่งเพื่อนเป็นคนที่มีความฝันว่าอยากจะเข้ามาตรงนี้ตัวมินเองเป็นคนที่ไม่กล้าแข่งขันกับคนอื่นแต่เพื่อนเขาก็ดีใจกับเรานะคะ แล้วก็มาเชียร์เราด้วย ก็ไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะชนะ คือมีน้องๆ ที่มีความสามารถมากมาย ตอนนั้นหนูโชว์ความสามารถพิเศษคือเดินแบบค่ะ ไม่กล้าโชว์อย่างอื่นร้องเพลงก็ไม่ค่อยเพราะเลยเลือกเดินแบบ ตื่นเต้นมาก ซ้อมกันข้างเวทีตอนนั้นเลย เป็นเวทีแรกหลังจากนั้นก็มีโอกาสได้เข้ามาเป็นนักแสดง และเซ็นสัญญากับทางช่อง 7
สานฝันให้คุณแม่
มินชอบการแสดงค่ะ มินเข้าวงการมาได้ก็เพราะว่าแคสโฆษณามาก่อน คุณแม่ชอบพาไปถ่ายโฆษณา ก็ได้เล่นตั้งแต่เด็กๆ ขวบสองขวบเลย แล้วก็พักมาช่วงหนึ่ง กลับมาตอน 13-14 ปี แคสไปแคสมาก็รู้สึกชอบการแสดง แต่ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะเข้าช่อง 7 จนอายุ15 ปี ได้เข้ามาประกวดถึงได้มีโอกาสเซ็นกับทางช่อง 7 ซึ่งตอนที่ประกวดคุณแม่เสียแล้ว มีแต่คุณพ่อ ซึ่งท่านไม่ได้ชอบทางด้านนี้ ด้านคุณแม่อยากให้เราเป็นนักแสดง เพราะว่าแม่เคยเล่นเอ็มวีของพี่แจ้ ก็เลยอยากให้ลูกทำงานในวงการบันเทิง พาเราไปแคสงานบ่อยมาก ส่วนคุณพ่อเข้ามาดูแลตอนหลังที่คุณแม่ไม่อยู่แล้ว เหมือนว่าสานฝันให้คุณแม่ และทำตรงนี้แล้วมีความสุขด้วยอีกอย่างหนึ่งคือช่วยครอบครัวได้ เพราะว่าคุณพ่อจะต้องเลี้ยงลูกอีก 2 คน หนูเป็นลูกคนโตค่ะ ก็เลยอยากแบ่งเบาภาระ พอเราหาได้ เราก็รู้สึกว่าเราช่วยเขาได้นะ ถึงเรายังเรียนอยู่ แต่เราก็สามารถทำงานได้ ช่วยเขาได้และจากที่คุณพ่อไม่สนับสนุน ก็กลายเป็นว่าสนับสนุนเราเต็มที่ อะไรที่เราทำแล้วมีความสุขทำแล้วมันดีก็โอเค
ทำทุกโอกาสให้เต็มที่
สำหรับหนูเอง จะทำทุกโอกาสที่ได้รับให้ดีที่สุดค่ะโดยส่วนตัวแล้วชอบเล่นบทร้ายๆ (ยิ้ม) คือก็เล่นได้ทุกบท แต่ว่าที่เข้ามาแล้วได้เล่นเรื่องแรก “บาปบริสุทธิ์ Live” เป็นร้ายแบบลึกๆ แกล้งดีก่อน แต่จริงๆ คือเป็นเด็กขี้อิจฉา มีปมด้อย เล่นออกมาแล้วเพื่อนเชื่อ โดนแซวว่าร้าย ที่เล่นได้อาจจะเป็นเพราะว่าเราได้ประสบการณ์จากโฆษณาด้วยค่ะ แต่ว่าเรื่องการตีบท เรื่องการแสดงแบบลึกๆ ทางช่องส่งให้ไปเรียนกับพี่ที่เป็นพระเอก-นางเอกของช่องเลย เรียนแล้วสนุกค่ะ ชอบ ทำให้เราได้รู้จักพี่ๆ มากขึ้นด้วย และได้รู้อะไรมากขึ้น การจะพูดจะแสดงเราต้องเล่นให้มันลึกลงไปอีก ต้องรู้สึกยังไงก่อน บางบทก็ยากค่ะ ถ้าเราต้องเล่นบทโตๆ ใช้ความคิดเยอะๆ ก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างในละครเรื่อง “เรือมนุษย์” ได้เล่นกับ “พี่เกรซ-กาญจน์เกล้า” ก็สนุก อยู่ด้วยกันอบอุ่นดี พี่ๆ ไม่ได้มองว่าเราเด็ก แล้วจะเล่นเข้ากันไม่ได้ แรกๆ อาจจะมีเกร็งบ้าง บทในเรื่องนี้จะเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่น พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ ก็จะมีพี่เกรซที่เป็นอาคอยดูแลเรา เราก็เลยจะผูกพันเขามากกว่าพ่อแม่ ส่วนในเรื่อง “เจ้าสาวช่างยนต์” ที่ออนแอร์ไปแล้ว ก็จะเป็นเด็กใสๆ เป็นเด็กดีรักพี่สาว รักแม่ ช่วยที่บ้านขายขนม เป็นบทบาทที่แตกต่างกันไปในทุกเรื่องค่ะ
บทบาทในภาพยนตร์
“สาย” เป็นเด็กสาวต่างจังหวัด ที่เรียบร้อยละเมียดละไมค่ะ ในวัยเด็กจะเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็น กล้าหาญ ไม่กลัวใคร เพราะพ่อเป็นกำนัน แต่พอ “น้อย” ที่รับบทโดย “พี่โอบ-โอบนิธิ” ย้ายตามครอบครัวไปอยู่พระนคร สายก็กลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่กล้าสุงสิงกับใคร เหม่อลอย เหมือนกำลังรอคอยใครบางคน หรืออะไรบางอย่างที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต ซึ่งก่อนที่จะมารับบทนี้ มินกดดันมาก เพราะว่าจะต้องเปลี่ยนตัวเองลดความห้าวลง มูฟเม้นท์เวลาจะเดิน หรือพูดต้องช้าลง เพราะสายเรียบร้อยกว่าหนู (หัวเราะ)
นางเอกเต็มตัวครั้งแรก
ตอนแรกที่ทางค่าย “ทรานส์ฟอร์เมชั่น” ให้บทมินมาอ่าน พอรู้ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับกระสือ มินกลัวนะคะ เพราะภาพหนังกระสือในบ้านเราที่ผ่านมา ทำให้เราติดตาว่าเป็นหนังมีหัวกับไส้ กินอุจจาระ แต่ก็ตัดสินใจคุยกับผู้กำกับ “พี่โดม” อธิบายถึงเนื้อหาของหนัง มันไม่ใช่ภาพเดิมที่เราคิด เป็นอะไรที่ท้าทายมาก แต่อยากจะบอกว่ากว่าจะเล่นเรื่องนี้ ไม่ใช่ง่ายๆ พี่โดมให้นักแสดงทุกคนทำเวิร์กช็อปก่อน แล้วก็ให้มินเขียนเนื้อหาชีวิตตัวละคร เพราะพี่โดมอยากดูความเข้าใจของเรา ซึ่งมินเขียนมาแบบไม่กี่บรรทัดเอง พอมาเจอของพี่โอบคือมาเป็นหน้าเลย หนูเหวอไปเลย ต่อไม่ถูกเลยค่ะ (หัวเราะ) วิธีการทำงานแบบนี้เวิร์กมาก ช่วยให้เราปรับจูนความเป็นมาของตัวละครได้ดี
ร่วมงานกับ 2 หนุ่ม ‘โอบ-โอบนิธิ’ และ ‘เกรท-สพล’
สนุกดีค่ะ พี่ๆ เขาร่วมมือแกล้งมินตลอด ด้วยความที่มินพยายามลดความอ้วน พี่โอบกับพี่เกรทก็จะแซวเรื่องแขนใหญ่บ้าง อ้วนบ้าง แต่มินก็ไม่ซีเรียสอะไร เวลามากองเหมือนมาเที่ยว เพราะว่าพี่โอบ, พี่เกรท หรือแม้กระทั่ง พี่เอ็ม-สุรศักดิ์ ซึ่งตอนแรกเราคิดว่าพี่เขาจะดุ แต่จริงๆ ไม่ดุเลย มุขเยอะ และใจดีมาก ทำให้หนูไม่ค่อยเกร็งเท่าไหร่ค่ะ แล้วพี่ๆ ทีมงานก็ใจดีตั้งใจทำงานกันทุกคนเลยค่ะ
เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่อง ‘แสงกระสือ’
ในมุมของมินคือหนังดูมีความอบอุ่น และมีความเชื่อเก่าๆ ของคนไทย ด้วยความที่เป็นหนังย้อนยุคทำให้มินได้เห็นเสน่ห์ของวิถีชีวิตคนชนบทในยุคนั้นมู้ดแอนด์โทน หรือเสื้อผ้า สถานที่ต่างๆ ย้อนยุคไปหมด มินหลงรักยุคนั้นไปแบบไม่รู้ตัว ในฐานะคนทำงานมินรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เล่นหนังเรื่องนี้ เหมือนได้ไปอีกโลกหนึ่งที่เราไม่เคยเจอเลยค่ะ
ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ และฝากติดตามชมภาพยนตร์เรื่อง “แสงกระสือ” รวมทั้งทุกผลงานที่กำลังจะตามมา มินจะตั้งใจทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด และสามารถเข้ามาทักทายกันได้ในไอจี mintira.q ค่ะ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี