หากนึกถึงภาพยนตร์ดี ๆ ที่ยังอยู่ในความทรงจำสักเรื่องหลาย ๆ คนคงจำได้กับภาพยนตร์เรื่อง “ผีเสื้อและดอกไม้” ภาพยนตร์สุดแสนคลสสิคกับเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องออกมาต่อสู้เป็นกองทัพมด โดยเฉพาะฉากที่ต้องนั่งอยู่บนหลังรถไฟ ที่ทำให้หลายคนยังคงจดจำได้ดี และจากภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เกิดดาวดวงใหม่เข้ามาประดับวงการในฐานะนักแสดงวัยรุ่น สำหรับ “ป๊อป” สุริยา เยาวสังข์ ด้วยความน่ารัก สดใส และบทบาทที่ตราตรึงในใจของผู้ที่ได้เข้าชมทำให้เขาโด่งดังกลายเป็นที่รู้จัก และมีผลงานการแสดง และถ่ายแบบ ตามมาเรื่อย ๆ คอลัมน์สตาร์ เรโทร บันเทิงแนวหน้า จะพาไปย้อนวันวานกับผู้ชายคนนี้ จากจุดเริ่มต้นที่ไม่อยากเข้าวงการ และเมื่อได้เข้ามาสัมผัสทำให้เขาตกหลุมรักวงการบันเทิง และเหตุใดเขาจึงตัดสินใจทิ้งเบื้องหน้า ก้าวสู่คนทำงานเบื้องหลัง
เริ่มต้นเข้าวงการจากการโดนตื๊อ
“เข้าวงการตอนนั้นผมเรียนที่โรงเรียนบางกะปินะครับแล้วก็มีเป็นอาจารย์ฝึกสอนชื่อพี่แมว ตอนนั้นปี 2527 - 2528 ราวๆนั้นเขามาติดต่อให้ผมลองไปแคสติ้งดู เราเลยไปแคส แล้วตอนนั้นด้วยเรายังวัยรุ่นเด็ก ๆ ปรากฏว่าได้ขึ้นมาแต่ว่าจริง ๆ แต่ผมไม่อยากเข้าวงการไม่อยากเล่นหนัง แต่พี่ “หง่าว” ยุทธนา มุกดาสนิท แกมาตามตื้อ สมัยก่อน เธค ยังไม่มีต้องไปลานสเก็ต ผมก็ไปเล่นลานสเก็ตพี่หง่าวแกก็ตามไปเล่นด้วย คุณเล่นอะไร ผมเล่นกับคุณด้วย ขอให้คุณมาเล่นหนังเรื่องนี้ ผมเลยใจอ่อน“
ภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต
“เรื่อง “ผีเสื้อและดอกไม้” ตอนนั้นเล่นกับ “แอน” วาสนา พูนผล” เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกต้องไปถ่ายทำที่หาดใหญ่เดือนเกือบสองเดือนได้ ซึ่งตอนนี้เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์อมตะไปแล้ว เนื่อเรื่องคือเราแสดงเป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่งมาก มีพ่อคนหนึ่ง น้องสาวคนหนึ่ง บ้านยากจน แต่เราจะสอบได้ที่ 1 มาตลอด แต่พอจบป.6 ในก็ต้องออกจากโรงเรียนไม่ยอมเรียนแล้ว ไปเป็นกองทัพมดโดยที่นางเอกของเรื่องเป็นคนแนะนำให้รู้จัก ที่เอาข้าวมาเลย์มาชายในไทยโดย รถไฟ สมัยก่อนมันจะมีจากหาดใหญ่ไปปะดังเปซา นะครับ จากปะดังเปซา เข้ามามันก็จะเป็นอย่างนี้ ทุกวันนี้ก็ไม่น่าจะมีแล้ว แต่ช่วงที่ไปถ่ายเขามีกองทัพมดอยู่จริงๆ แต่ว่าในเรื่องเขาเป็นคนข้าวสาร ผมก็ต้องไปเอาข้าวสารจากปะดังเปซาฝั่งมาเล เข้ามาขายในเมืองไทยเพราะว่ามันถูก ข้าวสารที่มาเลย์มันถูกว่าข้าวที่เมืองไทย แต่จริงๆตอนนั้นเขาไม่สนหรอกข้าวสารเขาสนเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็โอเคมันมีฉากซึ่งบางครั้งเวลาหิ้วข้าวสาร เวลาเดินในด่านตรวจ ต้องเอาข้าวสารแอบตามร่องน้ำบ้าง แอบตามเบาะนั่งคนขับบ้าง พออย่างนั้นตัวเราก็ต้องปีนขึ้นไปบนหลังคารถไฟ ซึ่งหนังเรื่องนี้ตอนนี้คลาสสิคมาก ซึ่งผมอยากเห็นหนังเรื่องนี้กลับมาทำอีกนะ ผมยังคุยกับพี่ง่าวอยู่เลยว่าอยากลองเอากลับมาทำดูอีก แต่พอมายุคนี้ถ้าทำจริง ๆ ค่าเช่ารถไฟมันคงแพงมาก 20 - 30 ล้าน ก็น่าจะอยู่ แต่ก็มีคนพูดหลายคนว่ามันเป็นคลาสสิกไปแล้ว ไม่สมควรเอากลับมาทำอีก อย่างน้ำพุ อย่างนี้ครับ ทำแล้วเกิดไม่ดีอย่างที่พี่ง่าวเคยทำเอาไว้มันก็ออกมาให้คนเขาว่าเอาเปล่าๆ”
รู้สึกยังไงกับภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต
“3 - 4 คิวแรก ยังเกร็งๆอยู่ พี่หง่าวแกจะมีจิตวิทยาในการพูด พี่เขาบอกว่าที่ผมได้มาเล่นเพราะว่าตัวแกน่ะเหมาะกับตัวละครตัวนี้ เพราะฉะนั้นแล้วแกก็เอาความเป็นตัวตนของแกเวลาพูดเวลาเล่น เอาความเป็นตัวตนของแกออกมา อย่าไปบิดแนวทางของความรู้สึกของตัวละครซึ่งออกมามันจะเพี้ยนจากที่ผู้กำกับต้องการ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเอาใครมาเล่นก็ได้ แล้วมาดัดจริต ความเป็นตัวละคร ซึ่งมันดูออกว่ามันไม่เหมาะไม่ควรที่จะทำ”
แจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต
“ตอนนั้นงานเยอะมาก โชว์ตัว ถ่ายหนังสือเยอะมาก 10 กว่าเล่มต่อเดือน แทบทุกเล่ม ผมถือว่าผมแจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้เลย ช่วงจังหวะที่ถ่ายหนังอยู่นั่น พอถ่ายเสร็จแล้วกลับมา ก็เริ่มมีหนังสือติดต่อเข้ามาก็ถ่ายแบบหนังสือเยอะมาก ตอนนั้นแทบจะทุกเสาร์-อาทิตย์ บางอาทิตย์นี้ถ่ายสองเล่มด้วยซ้ำ เช้าเล่ม เย็นเล่ม”
เริ่มชอบวงการบันเทิงหรือยัง
“เริ่ม ชอบวงการบันเทิงจริง ๆ ตอนถ่าย “ผีเสื้อและดอกไม้” มาครึ่งเรื่อง ผมจำไม่ได้ว่าเป็นคำพูดของ “พี่คิง” สมจริง ศรีสุภาพ หรือว่าคำพูดของพี่จ่าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ สองคนนี้นะครับเขาเคยพูดกับผมประโยคหนี่งว่า “คอยดูเถอะหนังเรื่องนี้ออกไปเงินจะเข้ามาเยอะเลย” ผมเองด้วยความเป็นวัยรุ่นก็งงว่าเงินจะเข้ามาตรงไหน ก็เลยกลับมานอนคิดอยู่สามวัน จำได้ว่ากลับมานอนคิดอยู่สามวันตัดสินใจ ว่าไหนๆก็เอาว่ะมาขนาดนี้ถ้าจะทำ ทำให้เต็มที่นั่นแหละครับ”
เริ่มมองวงการบันเทิงใหม่
“ใช่ ลองมองอีกมุมหนึ่งว่ามันเป็นยังไงแล้วพอมาถึงปิดกล้อง ก็มีหนังสือติดต่อเข้ามาไปถ่ายหนังสือแล้วเขาจ่ายเงินสด เลยลองคิดดูเมื่อ 30 ปีก่อนมีเงินเข้าวันล่ะ 3,000 - 5,000 บางวัน 10,000 - 20,000 เคยรับถึง 30,000 สนุกมาก ทีนี้ล่ะชอบล่ะ ชอบเต็มตัวก็เลยกระโดดเข้ามาเต็มตัว”
ตอนนั้นที่ไปถ่ายนี่ต้องไปฝึกเรียนการแสดงอะไรไหม
“ตอนที่ถ่ายเรื่องแรกไม่ได้มีอะไรเลยคือถ่ายไปแคสติ้งจบพี่เขาชอบตัวนี้เหมาะแล้วก็เวิร์คช๊อปก็ไม่ได้ทำเลย เล่นกันดิบ ๆ เล่นตามที่ผู้กำกับออกมาอย่างนั้น พอมาเรื่องที่สองถึงได้มาเรียนอย่างเป็นจริงเป็นจังก็คือมาเล่นละครของ ชนะ คราประยูร เรื่อง “กว่าจะรู้เดียงสา” คู่กับ “มาช่า วัฒนพานิช” ซึ่งตอนนั้น เขาดังมากในเรื่องของนางแบบ ดังที่สุดในประเทศเลยนะครับ”
ผลงานที่ผ่านมา
“หลังจากนั้นไปถ่าย “วงศาคณาญาติ” มีพี่หนุ่ม สันติสุข เป็นพระเอกแล้วมี พี่แหม่ม จินตหรา เป็นนางเอก ต่อจากนั้นก็เรื่มเล่นละครกระโดดข้ามค่ายเรื่องแรกเรพาะที่ผ่านมาผมจะเล่นให้ไฟว์สตาร์มาตลอดไมได้มัสัญญาอะไรแต่ผมเกิดจากที่นั่น เรื่องแกเป็น “ซอสามสาย” ของ “พี่เปี๊ยก พิศาล” ตอนปี 2529 หรือปี 2530 มีพี “แซม” ยุรนันท์ ภมรมนตรี เป็นพระเอก นางเอก พี่นก สินใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเล่นหนังแนวชีวิตส่วนใหญ่”
เข้าสู่วงการละครทีวี
“ละครทีวี ผมมาเล่นประมาณ 15 ปีที่ผ่านมานี่เอง ละครทีวีเรื่องแรกที่ผมเล่นของ “พี่ปื๊ด” เรื่อง “เฮฮาเมียนาวี” พี่ “หนุ่ม สันติสุข” เล่นเป็นพระเอก ทางช่อง 5 ซึ่งตอนนั้นละครหลังข่าวกำลังดังมาก ตอนที่มาเล่นก็ปรับตัวเป็นเดือน เพราะว่าหนังเขาถ่ายกล้องเดียวทุกครั้งถ่าย ต้องเล่นสองครั้ง หรือสามครั้ง แต่ละครเนี่ยะมันสามกล้อง บล็อกตัวละครเสร็จเอากล้องตั้ง ตัวละครตัวนี้กล้องนี้ๆนะ เสร็จหมดไดอะล็อกเดินออกนะกล้องเขาจะตั้งรับอย่างนี้ๆ ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่พอสมควร ก็ประมาณเดือนหนึ่งก็เข้าที่ครับ แล้วก็ได้เล่นละครโทรทัศน์มาเรื่อย ๆ ทั้งช่อง 3 ช่อง 7”
แล้วทำไมอยู่ๆถึงออกจากวงการ
“ผมก็ยังมีเล่นอยู่บ้างนะเป็นนักแสดงรับเชิญ แต่ละครเรื่องล่าสุด ที่ไม่ได้รับเชิญนะ “นายฮ้อยทมิฬ” แต่สาเหตุที่ผมตัดสินใจถอยจากวงการบันเทิงเพราะผมเริ่มมีความรู้สึกว่าผมชอบเบื้องหลังมานานแล้ว มันเริ่มตั้งแต่เล่นหนังแล้ว ก็พอจากที่เล่นเรื่องนั้นเสร็จก็ก็มีความรู้สึกว่าจะเอายังไงต่อไป แต่ตอนนั้นจริงๆผมก็พลาดอย่างหนึ่งเพราะว่า เราตัดเบื้องหน้าทิ้ง ทั้งๆที่มีละครอีก 3 เรื่องให้ผมเล่นทั้งๆที่ผมเล่นก็ได้ แต่ด้วยความที่ผมชอบเบื้องหลังมากกว่า ก็เลยปฏิเสธละครไปหลังจากนั้นก็ไม่มีละครติดต่อเข้ามาอีกเลย ก็ทำงานเบื้องหลังเต็มตัว ก็ทำกับพี่ “ท็อป” บิณฑ์ บันลือฤทธิ์”
ทั้งที่ตอนนั้นกำลังพีคทำไมปฏิเสธ
“คือเมื่อก่อนคิดว่าตอนนั้นเราไม่มีคู่แข่ง ไม่ได้ปรึกษาใครว่าพี่เอาดีเปล่า ผมอยากจะทำงานเบื้องหลังเต็มตัวควรจะรับเบื้องหลังด้วยไหมหรือว่าจะทิ้งเบื้องหน้าไปเลย ด้วยความที่เราปากไวด้วยแหละเราก็เลยปฏิเสธละคร 2 เรื่อง หนังเรื่องหนึ่ง มันเลยทำให้ตอนนี้ได้มาทำเบื้องหลังเต็มตัว แต่ถ้าพูดถึงเสียดายไหมก็เสียดายอยู่อย่างที่บอกว่าผมตัดสินใจผิด จริงๆแล้วมันยังไม่สมควรที่จะไป คนที่เขากำกับด้วยเล่นด้วยก็ยังมี แต่ผมแปลกใจมากตั้งแต่ที่ผมปฏิเสธไปไม่มีมาอีกเลยนะ เราไม่ได้ปฏิเสธในทางไม่ดีนะ เราก็บอกว่าเราติดเรื่องอื่นอยู่ ของเป็นเรื่องหน้าแล้วกัน ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีติดต่อมาอีกเลย แปลกมาก”
เริ่มเข้ามาทำงานเบื้องหลังกับพี่ท็อปได้อย่างไร
“คือตอนนั้นผมเข้ามาช่วยพี่ท็อปเพราะเราสนใจอยู่แล้วแต่ตอนแรกพี่เขาให้ผมกลับมาเล่นหนังใหญ่ก่อนเรื่อง “เรื่องช้างเพื่อนแก้ว” หลังจากเรื่องนั้นก็มาทำหนังดีวีดี 10 กว่าเรื่อง ซึ่งเราก็ได้มีโอกาสแสดงด้วยเท่าที่จำได้ก็เรื่องแรกที่ทำเลยรู้สึกจะเป็นหนังผี “รักหรือสเน่ห์ผี” แล้วก็อีกหลายเรื่องก็ทำมาเรื่อยๆ จนมาถึงเรื่อง “กระสือ” เรื่องเดียวที่ผมไม่ได้เล่นแต่ไปช่วยแกวางตัวละครให้ ซึ่งผมก็ทำเบื้องหลังเป็นผู้ช่วยผู้กำกับมาเรื่อย ๆ จนมาถึง “ปัญญาเรณู1-2-3” ครับ”
ตอนนี้มองวงการบันเทิงยังไงบ้าง
“มันแตกต่างจากที่ผมเคยอยู่มานะ ผมเคยรับงานชิ้นหนึ่งไปถ่ายที่ฮ่องกง ค่าตัวแสนหนึ่งตอนนั้นสูงมากนะ แต่เดี๋ยวนี้ฟังค่าตัว ดาราแต่ละคนทีเป็น 10 ล้าน ถ้าเป็นอย่างเมื่อสมัยก่อนผมลอยตัวแล้ว ยิ่งช่วงที่หนังเยอะๆ เดี๋ยวนี้มันควบคู่กันไปทั้งหนัง ละคร แต่ละครดูจะไปได้ดีกว่านะ”
เคยได้เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง
“เรื่อง “ซอสามสาย” ได้รางวัล 7 ตุ๊กตาทอง ผมไม่ได้ ผมได้เข้าชิงพระเอก แต่ผมไม่อยู่ไปเมืองนอกไปเรียนตอนปี 2530 ตอนแรกตั้งใจไปเรียนภาษา ที่เรียนโรงเรียนานาชาติ ไปอยู่ได้ปีเดียวก็มีปฏิวัติ เลยเขาเลยส่งตัวกลับมา เขาจะให้กลับไปอีกเราไม่ไปแล้ว เมืองจีนสมัยก่อนอยู่ยากลำบากมาก 6 โมงเย็นไม่ต้องออกไปหาอะไรกินแล้วข้างนอก บ้านปิดหมดไม่มีเลย มันยากลำบากมาก กินอยู่ในโรงเรียน แล้วคนจีนที่อยู่เป็นคนจีนโพ้นทะเล จาก อเมรกา ญี่ปุ่น บราซิล คือทัวโลกส่งมาเรียน ที่ปักกิ่ง เพื่อให้ได้ภาษาจีน กับไปทำการค้ากับเมืองจีน ตอนนั้นเริ่มที่จะได้ภาษาแล้ว เริ่มที่จะสนุกกับการเรียนแต่มีปฏิวัติก็เลยกลับมา”
สิ่งที่ได้จากวงการบันเทิงมีอะไรบ้าง
“ทุกวันนี้ที่ผมใช้ชีวิตอยู่ที่ทำมาหากินอยู่ก็เพราะวงการบันเทิง เขาสอนผมมาไม่ว่าจะเบื้องหน้า เบื้องหลัง จวบจนกระทั่ง ผู้กำกับแต่ละท่าน เพราะผมผ่านผู้กำกับที่ระดับอาจารย์ทั้งนั้น จนกระทั่งผมคิดว่าหลาย ๆ ท่านก็ยอมรับว่า “บิณฑ์ บรรฤทธิ์” ก็คือหนึ่งในผู้กำกับที่ดีที่สุดของเมืองไทยคนหนึ่งตอนนี้ ผมได้มีโอกาสทำงานกับผู้กำกับระดับนี้มาเนี่ยะ ผมเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเขา เก็บความรู้จากเขา เพื่อที่ ณ วันหนึ่งผมคิดว่าผมต้องมีงานของตัวเองแน่ๆ ผมต้องกำกับหนังของตัวเองสักเรื่อง เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเขามารวมเอาไว้แล้วเดี๋ยว ค่อยมาทำของผมเอง ก็มีกำลังคุยกับนายทุนเหมือนกันว่าหนังจะเป็นยังไง เขียนบทไปได้สัก 60-70 เปอร์เซ็นต์แล้ว เป็นแนวดราม่าคอมมาดี้ครับ”
มีแง่คิดในการดำเนินชีวิตยังไงบ้าง
“แง่คิด ในส่วนตัวของผมนะครับ คือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนนะครับ ทำแล้วเราสบายใจ สบายใจในที่นี้หมายถึงว่า สบายใจจริง ๆ ไม่ใช่สบายใจ ณ จุดที่ทำ แต่พอเลยมาแล้วเรากลับมาทุกข์ใจอย่าทำ สิ่งที่แม่ผมพูดเอาไว้ตลอดคือคิดก่อนที่จะพูดอะไร อย่าเป็นคนปากไวคนตายเพราะปากมาเยอะแล้ว”
อยากฝากอะไรถึงคนที่เคยติดตามผลงาน
“ฝากเอาไว้ด้วยนะครับ “ปัญญาเรณูภาค 3” อยากให้ดูกันเยอะ ๆ หนังจะได้มีรายได้ ผมจะได้มีกำลังใจแล้วจะได้มีเงินทุน พี่ท็อปก็จะได้จ้างพวกผมแล้วก็จะทำหนังดีๆ ออกมาให้คนไทยได้ดู กันต่อไป”
พินิตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี