จากชีวิตของเด็กหนุ่มบ้านนอกที่ใฝ่ฝันเพียงแค่อยากเป็นนักกีต้าร์ที่ดีที่สุด แต่ด้วยสายเลือดของคุณพ่อที่เป็นนักร้องประกวดอันดับ 1 ทำให้ชีวิตของ “ต้อม เรนโบว์” หรือ พีระพงษ์ พลชนะ พลิกผันจากนักดนตรีที่เล่นเพียงกีต้าร์โซโล่ และร้องเพลงประสานเสียงกลายมาเป็นนักร้องระดับแถวหน้าของวงการ ที่ทำให้คนทั่วประเทศจดจำและตราตรึงมาถึงทุกวันนี้ ก่อนที่เขาจะผันตัวเองไปอยู่ต่างแดนเพื่อใช้ชีวิตกับครอบครัวนานนับ 10 ปี วันนี้เขากลับมาอีกครั้ง พร้อมเปิดใจกับ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ถึงเรื่องราวชีวิต และเหตุผลของการกลับมาที่หลังจากนี้ขอเพียงให้ลูกคนสุดท้องหายจากโรคร้ายที่ต้องเผชิญ พร้อมเกร็ดชีวิตที่น่าติดตาม
ซึมซับจากครอบครัว
“ชีวิตวัยเด็กผมเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ที่ชอบฟังเพลงโดยเริ่มจากไอดอลของผมเลย พี่ “ต้อย” เศรษฐา ศิระฉายา วง ดิ อิมพอสสิเบิล ,อา “ฉึ่ง” ชรินทร์ นันทนาคร พอมาช่วงหลังเริ่มมีเพลงสากลเข้ามา อย่าง วงบีจีส์ (Bee Gees) และอีกหลายวงที่ผมชอบ และด้วยที่บ้านผมเป็นนักดนตรีคุณพ่อของผมท่านเป็นนักร้องอันดับ 1 ของภาคอีสาน ร้องเพลงประกวดเรียกวง “สตริงคอมโบ” จะมีพวกเครื่องเป่า จำได้เขาไปประกวดที่นครพนมประทับใจมาก มีผู้แข่งขันตอนนั้น 100 กว่าวง แต่ท่านได้ที่ 1 แม้คุณพ่อจะเป็นนักดนตรี เป็นนักร้องแต่ท่านไม่ได้สอนเรานะ เพราะท่านอยากให้เราเรียนหนังสืออย่างเดียว แต่มันเหมือนเป็นสายเลือดซึมซับมาเรื่อย ๆ เพราะเวลาเขาซ้อมดนตรีจะซ้อมที่บ้าน เวลาเขาไปเล่นดนตรีบางงานก็จะชวนเราไปด้วย เราเห็นท่านมาตั้งแต่เด็ก”
ฝันอยากเป็นนักกีต้าร์อันดับหนึ่ง
“เริ่มหัดเล่นกีต้าร์ตอนอายุ 6 -7 ขวบ ตอนนั้นยังไม่มีเป็นของตัวเองต้องยืมจากข้างบ้านมาหัดเล่น มาเริ่มเล่นจริงจังตอนอายุ 11 – 12 ขวบ มีกีต้าร์เป็นของตัวเองแล้ว จำได้ว่ายังหัวเกรี๋ยนอยู่เลย ซึ่งในรุ่นถือว่าเราเล่นดีพอใช้ได้ เวลาที่นักดนตรีวงใหญ่ ๆ เขาลาเขาจะเรียกเราไปแทนก่อน และพออายุ 15-16 เราก็เริ่มเล่นในบาร์ในคลับแล้ว เลยทำให้มีโอกาสในการคลุกคลีกับนักดนตรี แล้วคุณพ่อก็เป็นนักดนตรีด้วยเลยเล่นจริงจัง ตอนนั้นผมไม่สนใจการร้องเพลงด้วยซ้ำ เล่นกีต้าร์อย่างเดียว และคิดว่าอยากเป็นมือกีต้าร์ที่ดีทึ่สุด”
ผันมาเป็นนักร้องนำ ‘วงอินทนิล’
“ช่วงแรกผมเล่นกีต้าร์โซโล่ให้ วงอินทนิล และอีกหลายวง ส่วนร้องเพลงจะเป็นเพลงสากลและแค่ประสานเสียงเท่านั้น ไมได้จริงจังอะไรมากมาย แต่พอวันหนึ่งนักร้องนำ และอีกหลายคนในวงอินทนิลได้ออกไปหมด อาจด้วยความที่เขาเกิดการอิ่มตัว เลยมีคนชักชวนให้ไปออดิชั่นเป็นนักร้องที่อาร์เอสฯ ในเพลง “ขอรัก...อีกครั้ง” ปรากฏว่าทางบริษัทฯ ลงความเห็นว่าเลือกเราเป็นนักร้องนำ และเป็นมือกีร์ต้าด้วย ผมเลยเหมือนเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ตอนนั้นเป็นชุดที่ 4 โดยใช้เพลงที่ออดิชั่นเป็นชื่ออัลบั้มโปรโมทฯ ระหว่างนั้นผมได้หัดฝึกร้องเพลงด้วยและคิดว่าอาจด้วยการซึมซับมาจากคุณพ่อที่เป็นนักร้องประกวดทำให้พัฒนาการในด้านร้องเพลงค่อนข้างไว เลยหันมาฝึกร้องจริงจัง พอสงสัยตรงไหนก็ถามรุ่นพี่ ถามคุณพ่อบ้าง มันเลยกลายเป็นว่าช่วงหนึ่งเรากลายเป็นหน้าหนึ่งของวงการเพลงในยุคนั้น ดีใจมาก ทำให้คิดว่าถ้าย้อนไปได้ก็คงฝึกร้องเพลงตั้งแต่แรก และเราได้เริ่มเป็นนักร้องนำของ วงอินทนิล ตั้งแต่ตอนนั้น แล้วบทบาทการเล่นกีต้าร์ก็เริ่มน้อยลงจนกลายมาเป็นนักร้องจนถึงทุกวันนี้”
กำเนิดวง ‘เรนโบว์’
“ตอนที่เข้าไปวงอินทนิล ช่วงปลายยุคแล้ว ในที่สุดวงก็อิ่มตัวเลยตัดสินใจยุบวงในปี พ.ศ.2528 ต่อมาสมาชิกวงที่เหลืออยู่ มี “อ๊อด” ทวี ศรีประดิษฐ์ ,”ป๋อง” เรวัติ สระแก้ว และ “อุ๋น” ธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ และผม มารวมกับสมาชิกใหม่ อัมพร ชาวเวียง และ “อี๊ด” สุชาติ จันทร์ต้น เป็น 6 คน เลยกลายมาเป็นวงใหม่และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วงเรนโบว์” สำหรับชื่อวงเกิดจากการที่ตั้งเป็นชื่อภาษาไทยก่อนว่า “สายรุ้ง” เพราะพวกเราชอบ แต่สมัยก่อนชื่อวงดนตรีส่วนใหญ่จะมีแต่ภาษาอังกฤษอย่าง บรั่นดี , ฟรุ๊ตตี้ ฯลฯ แล้วอีกอย่างตอนนั้นมีวงเรนโบว์ที่เป็นวงต่างประเทศ มีนักกีต้าร์คนหนึ่งที่ต้อมชอบ ริทชี แบล็กมอร์ เราเลยขอชื่อวงของเขามาหน่อยเลยกลายเป็นวงเรนโบว์ จนถึงทุกวันนี้ โดยมีอัลบั้ม “ช้ำเพราะรัก” เป็นงานเพลงชุดแรก
ความสำเร็จ-ริเริ่มใช้มือเป็นสัญลักษณ์ ‘ไอ เลิฟ ยู’
“จริง ๆ ช่วงแรกเราไม่ค่อยประสบความสำเร็จกันเท่าไรเป็นวงที่เขาเรียกว่าก่อนออนแอร์ โดยเอาเพลงของวงอื่น ๆ เช่น บรั่นดี , ฟรุ๊ตตี้ ฯลฯ ที่ดังตอนนั้นมาเล่นก่อน คือถ้าวันไหนเขาไม่ว่างเราก็จะไปเล่นแทน แล้วเวลาเล่นคอนเสิร์ตเราจะขึ้นก่อนเวลา เลยทำให้แฟน ๆ ของพวกเขามารู้จักเรา ชุดแรกยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะการร้องเพลงยังไม่ถึงขั้น การหายใจ ความชัดเจน มันยังไม่ค่อยดี ระหว่างชุดแรกถึงชุดที่สอง ห่างกันหนึ่งปี ผมต้องฝึกร้องเพลงอย่างหนัก พองานชุดที่ 2 ออกมาชื่อ “ความในใจ” ชุดนี้ปรากฎว่าเราได้ขึ้นอันดับ 1 ทั่วภาคอีสานและทั่วประเทศอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่ประทับใจคือเราไม่คิดว่าเราจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้รวดเร็วขนาดนั้น แค่ประมาณ 2 เดือนเท่านั้นเองที่ทำให้ชีวิตหลังจากนั้นของเราเปลี่ยนไปจากเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่อยู่ ๆ ทุกคนมาประทับใจจนถึงทุกวันนี้ สัญลักษณ์ของทุก ๆ คนจะเป็นท่า “ไอเลิฟยู” ซึ่งเราใช้คนแรกและใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านี้ผมเป็นคนคิดกันเอง เพราะมันไม่ต้องบอกกันด้วยคำพูด เราสามารถใช้กิริยาท่าทางบอกได้ว่าเรารู้สึกอย่างไร”
ชีวิตที่เปลี่ยนไป
“ชีวิตเปลี่ยนเยอะมากไม่มีเวลาเลยมีแต่รถตู้กับโรงแรมเท่านั้นในชีวิต เพราะเวลาจะออกไปทานข้าวหรือเดินข้างนอกมันเป็นเรื่องยากมากพอเล่นคอนเสิร์ตเสร็จออกจากหลังเวทีก็ยากแล้ว รถตู้ก็จะมุ่งหน้าไปที่โรงแรมเพื่อพักผ่อนอาหารบางทีก็ต้องสั่งขึ้นไปทานออกไปไหนไมได้ พออีกวันก็ต้องเดินทางด้วยรถตู้ต่ออีกเพราะแฟนเพลงเยอะมากที่มารออยู่หน้าประตู หน้าโรงแรม คือไมได้รังเกียจนะครับแต่ชีวิตเราเปลี่ยนมากไปไหนไมได้แต่ก็มีความสุขนะ เราต้องปรับเปลี่ยนชีวิตเราในยุคนั้นให้เข้ากับสถานการณ์ พอช่วงหลังเริ่มปิดตัวเองไม่ได้ชีวิตมันดูเหงา ๆ เลยตัดสินใจลงมาคุยกับแฟนเพลงเลย แฟนเพลงอยู่ทางไหนก็เดินไปคุยกับเขา ทำให้แฟนคลับเราค่อนข้างเยอะ และความเป็นกันเองที่ลงไปคุยด้วยช่วงหลังพอปรับตัวได้ก็ไม่เก็บตัวเหมือนตอนแรกแล้ว เจอกันเหมือนพี่เหมือนน้องพบกัน มันทำให้เราคิดว่าดีนะที่ตัดสินใจแบบนี้ดีกว่าที่มัวนอนอยู่ในโรงแรม พอมีงานวันเกิดเราก็จัดร่วมกับแฟนคลับใช้ชีวิตเฮฮาแบบนี้สนุกครับชีวิตมันเลยดีขึ้น เพราะช่วงแรกที่ยังปรับตัวไมได้ก็มีปัญหาอยู่เหมือนกัน”
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา
“เรนโบว์ออกอัลบั้มหลัก 8 ชุด อัลบั้มพิเศษประมาณ 6-7 ชุด มีรวมฮิตด้วย สาเหตุที่ตอนหลังเรายุบวงเพราะเมื่อวันหนึ่งที่ถึงจุดอิ่มตัว แต่ละคนเริ่มมีภารกิจและสิ่งที่อยากทำ บางคนไปเป็นโปรดิวเซอร์ อยู่เบื้องหลัง แล้วพอหมดสัญญาสุดท้ายของอาร์เอสฯ เราเลยได้โอกาสแยกกันออกไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบบ้าง แต่เรายังรักกันอยู่นะ ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง พอถึงเวลามันเบื่ออัลบั้มก็แผ่ว ๆ ลงมาหน่อย ช่วงหลังพอทำอะไรออกก็ไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไร เราเลยลองแยกออกมาลองเปลี่ยนแปลงกันดูบ้างดีกว่า”
มีครอบครัวและย้ายไปอยู่ฝรั่งเศส
“ผมเองแต่งงานมีครอบครัวแล้วไปอยู่ที่ฝรั่งเศส 10 ปีกว่า ช่วงแรกไป ๆ มา ๆ ตอนหลังตัดสินใจไปอยู่เลย มันเหมือนเป็นการเริ่มปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต อย่างเรื่องภาษา อากาศ และสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ที่เลือกไปฝรั่งเศสเพราะภรรยามีเชื้อสายด้วย ตอนแรกคิดว่างานที่นั่นจะหายากเริ่มจากไปที่สถานทูตก่อนแล้วไปเจอแฟนเพลงคนรู้จัก เขาเลยชักชวนให้ไปช่วยงานวัดก่อนเป็นงานใหญ่มากที่ปารีส หลังจากนั้นเลยทำให้เริ่มมีงานเข้ามาเต็มเลย เพราะในยุโรปมีหลายประเทศที่คนไทยไปอยู่เยอะ แล้วเราถือเป็นศิลปินที่อยู่ในใจเขา เลยทำให้เรามีงานมาตลอดไม่หยุด จริง ๆ อาชีพของเราแบบนี้เราอยู่ตรงไหนก็ได้ในโลก ตอนแรกไปตั้งใจว่าจะสร้างห้องอัดเพื่อผลิตงาน ร้องเพลงขายเองทำเป็นบริษัทเล็ก ๆ สุดท้ายถือว่าประสบความสำเร็จเหมือนกันนะศิลปินในบริษัทคือตัวเอง ผมได้ทำงานเพลงออกมาไม่มีขายในเมืองไทย เป็นเพลงไทยผสมกับเพลงลาว ที่มีโอกาสเพราะครั้งหนึ่งได้ไปเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ที่ปารีส อาจารย์ที่แต่งเพลงดัง ๆ ของลาวตอนนั้นมารวมกันหมดพอได้มีโอกาสมารู้จัก ท่านเลยมอบเพลงลาวให้ เขาอยากให้ต้อม เรนโบว์ ร้องเพลงของเขาด้วยความภูมิใจ เราเลยนำเพลงที่เป็นอมตะของลาวในยุค 40-50 ปี มาร้องมี 2 ชุด ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ตอนนั้นเราทำมิวสิควีดีโอ ทำดนตรี อัดเอง ร้องเอง ประสานเสียงเองทั้งหมด”
เหตุผลที่แท้จริงของการกลับมาเมืองไทย
“สาเหตุที่ตัดสินใจกลับมาเมืองไทยเพราะเรื่องงานด้วย และเสียงเรียกร้องจากแฟน ๆ เพลง แต่ที่สำคัญที่สุดไม่เคยพูดให้ใครฟัง ที่กลับมาที่นี่เพราะลูกคนสุดท้องตอนนี้อายุ 8 ขวบ ไม่สบายเขามีเชื้อออทิสติก เราเพิ่งรู้เมื่อปีที่แล้ว ตอนแรกเขามีอาการลมชักอย่างเดียว เราเลยพาไปรักษาแต่พอหมอตรวจแล้วเจอโรคร้าย เราคิดว่ามันช้าเกินไปแล้วที่รู้เลยพยายามหาโรงเรียน สถานบำบัดที่นั่น แต่เมืองที่เราอยู่เป็นเมืองเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กับปารีสซึ่งต้องเดินทาง 2 ชั่วโมง แต่ว่าโรงเรียนที่บำบัดโรคออทิสติกอยู่ไกลมาก เราติดต่อไปแต่ไม่ว่างต้องรอคิวเลยเลยบอกภรรยาให้ปรับตัวด่วนเลยถ้าช้ากว่านี้ลูกจะยิ่งมีปัญหาเลยติดต่อกลับมาทางเมืองไทย และได้โรงเรียนให้ลูก 1 โรงรียน และสถานบำบัด รวมทั้งโรงพยาบาล เลยรีบตัดสินใจบินกลับมา พาลูกคนกลางกลับมาด้วยให้มาเรียนที่นี่ ส่วนคนโตยังเรียนที่ฝรั่งเศส เลยกลายเป็นว่าชีวิตเราต้องมาพลิกผันอีกครั้งหนึ่ง กลับมาเพื่อรักษาลูก ซึ่งตอนนี้ลูกคนเล็กต้องผ่าตัดตาด้วย เขาเคยผ่าตัดคอ แก้มมาแล้วเขาเป็นซี๊ด ตาเขด้วยเลยต้องผ่าตัด ตอนนี้ทิ้งเขาไมได้เลย เขาต้องเผชิญกับ 2 โรคร้าย เขาเป็นเด็กพิเศษมาก ฉลาด ตอนที่เขาเกิดมาชีวิตเราดีขึ้นเหมือนเขาให้คุณเรา เราทิ้งไมได้ไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตามอยากให้เขาดีขึ้น ผมพยายามทำทุกวิถีทาง เขาให้คุณเรา เราก็ต้องให้คุณเขาดูแลเขาให้ดี ตอนนี้พี่ก็ 50 ปีแล้ว ลูกคนสุดท้องแล้ว คนนี้น่าสงสาร และเราต้องต่อสู้ร่วมกับเขา พอเรากลับมาได้สักพักพอคนเริ่มรู้ทำให้มีงานเข้ามา เลยคิดว่าจะอยู่เมืองไทยยาว ๆ อีกหลายปีจนกว่าลูกคนเล็กจะดีขึ้น”
เตรียมโปรเจคต์พิเศษ
“เร็ว ๆ นี้ก็จะมีโปรเจคต์พิเศษเป็นคอนเสิร์ต “The Memory ความรัก ความทรงจำ ความคิดถึง” ที่ไบเทคบางนา ส่วนผลงานใหม่ ๆ ตอนนี้กำลังคุยกับที่วงเรนโบว์ อยู่ อาจมีเพลงใหม่ และคอนเสิร์ตใหญ่ในรูปแบบของเรนโบว์ ซึ่งโปรเจคต์นี้เราคุยกันไว้นานแล้วตั้งแต่ คุณ “อ๊อด” ทวี ศรีประดิษฐ์ หัวหน้าวงและมือกลองยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเขาตั้งใจมากอยากให้วงของเรากลับมารวมกันอีกครั้งหนึ่ง แต่พอเขาเสียชีวิตเลยเลิกล้มความคิดไปนานหลายปี จนกระทั่งตอนนี้ต้อมกลับมาอยู่เมืองไทยยาว ๆ เลยเป็นโอกาสให้กลับมาคุยกันใหม่อีกครั้งที่ ตอนนี้เริ่มฟอร์มวง คุยกัน และเริ่มมีซ้อมแล้ว”
มองวงการเพลงตอนนี้
“ทันสมัยดี แต่มีหลายคนบอกว่าเด็กรุ่นใหม่จะร้องเพลงไม่ค่อยชัด ไม่ต้องกังวลเพราะมันคือแฟชั่นอาจมีการดีไซน์ที่ผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ผมคิดว่าถ้าไม่ชัดไปกว่านี้ก็คงไมได้แล้ว มันจะกลายเป็นเพลงสากลไปแล้ว ยังไงเราเป็นคนไทยอยากให้รักษาสำเนียงภาษาไทยไว้ ส่วนเรื่องดนตรีเด็กสมัยนี้เก่งมาก อย่างในยุคพี่ดนตรีของแต่ละวงจะไม่เหมือนกัน ยุคนี้มันคนละยุคอาจร้องคล้าย ๆ กัน ดนตรีคล้าย ๆ กันบ้างคงเพราะการค้นหามันต่างกัน แล้วด้วยเรื่องของการตลาดด้วยครับ”
สิ่งที่ได้ในวงการบันเทิง
“วงการบันเทิงให้ทุกอย่างในชีวิตพี่นะจริง ๆ พี่อยากเป็นแค่นักดนตรีกระจอก ๆ คนหนึ่งด้วยซ้ำ เล่นพอได้เงินมาเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น แต่ปรากฏว่ามันทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนดีเกินกว่าที่เราคาดหมายไว้ นำพาทุกอย่างทำให้ชีวิตพี่มีความสุข มีเงินทอง ได้ประสปการณ์ทั้งดี ทั้งเลว บางครั้งทำอะไรโง่ ๆ บ้างแต่ชีวิตก็มีความสุขมีหลายรสชาติจริง ๆ วงการนี้สุดยอดจริง ๆ”
ฝากถึงศิลปินรุ่นใหม่ ๆ และแฟน ๆ
“ฝากถึงนักร้องศิลปินรุ่นใหม่ ๆ การรักษาชื่อเสียงไม่ยากครับก่อนอื่นเราต้องมีความจริงใจ คือจริงใจกับคนที่รักเราคือแฟนเพลง จริงใจกับตัวเอง และจริงใจกับงานของตัวเองที่ทำอยู่ ถ้าเราจริงใจกับ 3 สิ่งนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าเราจะไม่ดีครับ สิ่งนี้สามารถปรับไปใช้กับอย่างอื่นได้หมด ที่สำคัญเราต้องให้ความรักกับเขาก่อนเขาถึงจะรักเราครับ สำหรับแฟน ๆ ที่ติดตามผลงานมาตลอดต้อมต้องขอขอบคุณทุกคนเร็ว ๆ นี้คงมีคอนเสิร์ตให้ได้ชมกันครับ”
พินิตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี