✰ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจตั้งแต่แรกเริ่มโปรเจกท์ ขุนพันธ์ มีความเป็นมาอย่างไร
โปรเจกท์นี้มันถูกเริ่มต้นมาแล้ว 10 ปี สำหรับ ขุนพันธ์ 3 คือครบรอบ 10 ปี ที่วางแผนกันมา ซึ่งจุดเริ่มต้นในตอนนั้นจะมีข่าวเรื่องนายตำรวจจอมขมังเวทย์ที่โด่งดังจากจตุคามรามเทพ เพียงแต่ที่เราสนใจไม่ใช่ในส่วนของเครื่องรางของขลังแต่เป็นในส่วนสตอรี่ของตัวท่านขุนพันธ์เองที่อยู่ในใจมาตลอด เท่มากๆ เป็นเรื่องของตำรวจคนหนึ่ง ภาพแรกที่เราเห็นคือมีดาบสะพายหลัง นุ่งผ้าหยักรั้ง เป็นเหมือนโจงกระเบน ใส่เสื้อราชประแตน และอยู่บนหลังช้าง ไล่ล่าจับโจร แล้วโจรวิ่งเข้าไปในป่า ก็เสกคาถาเพี้ยง แล้วหายไปในป่า ท่านขุนก็หยิบใบไม้มา พ่นคาถาลงไปที่ปืนแล้วยิงออกไปในอากาศ ลูกกระสุนมันก็เปิดป่า แหวกอากาศ ทำให้โจรที่หายตัวปรากฏตัวขึ้น ท่านขุนก็กระโดดตู้ม มันมีความไทยๆ มีความเอ็กซ์โซติก และการพูดเรื่องมิติของการเมือง ความเชื่อ ศรัทธา และความเป็นมนุษย์ เรารู้สึกว่าเรื่องราวของขุนพันธ์มีครบให้เราเปิดประเด็นเล่นได้
✰ความตั้งใจตั้งแต่แรกเริ่มคือทำหนังแอ๊กชั่นที่มีเรื่องราวของท่านขุนพันธ์เป็นแรงบันดาลใจ
ครับ แต่ถ้าถามว่าเราได้หยิบตัวตนของท่านขุนพันธ์มาทำแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ไม่ใช่ครับ ผมให้สัมภาษณ์มาเสมอว่ามันไม่ใช่หนังชีวประวัติ ก็เลยขออนุญาตกับที่บ้านท่านตรงๆ ว่าเราไม่ได้ทำหนังชีวประวัตินะ เราทำหนังซูเปอร์ฮีโร่ไทยๆ ซึ่งมาจากการได้พูดคุยกับทางคุณสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ตอนนั้นที่คุยกันเขาบอกว่าทำไมมันไม่มี James Bond 007แบบไทยๆ คือตัวละครที่มีมิชชั่นบางอย่างที่สามารถทำเป็นซีรี่ส์ต่อไปได้เรื่อยๆ โดยภายภาคหน้าต่อไปเราอาจจะเปลี่ยนตัวขุนพันธ์ก็ได้ ผู้กำกับคนอื่นอาจจะมาทำ ขุนพันธ์ ก็ได้มันเหมือนเป็นการเซตอัพอะไรบางอย่าง เรารู้สึกว่ามันเป็น value แบบที่หนังไทยควรจะมี รู้สึกเป็นเกียรติและท้าทายที่เราจะทำอย่างนี้ได้ในวงการหนังไทย สมมุติ 007 มีอาวุธไฮเทคขุนพันธ์ก็มีไสยศาสตร์แปลกๆ ใหม่ๆ บวกกับการเผชิญหน้าศัตรูที่มีวิชาอาคมแปลกๆ เราก็จะได้เห็นอาวุธใหม่ๆ ของขุนพันธ์ที่ในแต่ละภาคมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และที่ขุนพันธ์ ทำมาตลอด คือมันสะท้อนสภาพบริบททางการเมือง ทางความเชื่อของผู้คน ความศรัทธาที่มันก็ถูกท้าทาย ซึ่งอันนี้ก็ตรงกับตัวจริงตัวละครขุนพันธ์คือศรัทธาในหน้าที่
✰เพราะอะไรที่ทำให้หนัง ขุนพันธ์ เดินทางมาได้ไกลขนาดนี้ในช่วงเวลา 10 ปี
โปรเจกท์นี้เดินทางมาไกลถึง 10 ปี เราไม่ได้คาดหวัง แต่เราวางแผนไว้ ผมเคยพูดกับทุกคน กับทีมงาน กับทางสตูดิโอว่า ของบางอย่าง
มันต้องใช้เวลาทำ 10 ปี ผมยังยืนยันว่าขุนพันธ์ เป็นโปรเจกท์ที่ต้องให้เครดิตกับทีมงาน จนกระทั่งถึง ขุนพันธ์ 3 ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือมันเกิดการเรียกรวมตัวทีมงานที่ทำกันมาตั้งแต่ภาคแรก มันเกิดความผูกพันในแง่ของการทำงาน หรือแม้กระทั่งน้องทีมงานใหม่ๆ หลายคนก็สมัครใจที่จะเข้ามา เพราะอยากเข้ามาอยู่ในจักรวาลขุนพันธ์ หลายๆ คนกระตือรือร้นที่จะทำ แต่แน่นอนอุปสรรคมันเยอะมากตั้งแต่ภาคแรกมาแล้ว แต่มันเป็นความเหนื่อย ความยากที่เราเลือกที่เราพอใจ ซึ่งเราประเมินแล้วว่าผลลัพธ์มันจะคุ้มค่ากับความเหนื่อยที่เราทำไป มันจึงเป็นภารกิจที่มีความสุข
✰สำหรับ ขุนพันธ์ 3 แล้ว ส่วนตัวผู้กำกับเองอยากให้หนังออกมาเป็นอย่างไร
จริงๆ เราพยายามโตขึ้นแต่เราจะน้อยลง เราจะคมขึ้นชัดเจนขึ้น ความผิดพลาดในแต่ละภาคเราก็เอามาเรียนรู้ ปรับปรุง ในแง่ของภาพคือ ขุนพันธ์ มันถูกฟิกซ์ไว้ด้วยยุคสมัย เนื่องจากมันเป็นหนังพีเรียด ภาค 1 แฟชั่น เสื้อผ้าหน้าผมแม้กระทั่งหนวดเขี้ยวของขุนพันธ์ ก็จะย้อนกลับไปก่อนสงครามโลกจะเกิด เข้าสู่ภาค 2 เปิดเรื่องมาคือญี่ปุ่นแพ้สงคราม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้าวยากหมากแพง คนก็กลายเป็นโจร เกิดเสือร้ายขึ้นทั่วประเทศ ขุนพันธ์ต้องออกมาปราบปราม พอมาถึงภาค 3 สงครามเลิกไปแล้ว 4-5 ปี ประมาณปี 2493 ถึง 2495 ช่วงนั้นสถานการณ์ทั้งโลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น คือยุคสงครามข้อมูล สงครามสายลับ เกิดวิกฤตทางการเมือง ความจนยังอยู่ เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างสูง คนรวย ข้าราชการ คฤหบดีมีอำนาจ โจรยังคงอยู่ บ้านเมืองเข้าสู่ความทันสมัยขึ้น สี มู้ด โทน ความเป็นหนังแบบสงครามเย็น มันจะมีความรู้สึกของหนังสายลับขึ้นมามากขึ้น ตัวขุนพันธ์เองเขาก็มีพัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆ แม้กระทั่งวัยวุฒิ แล้วก็เกิดการตั้งคำถามกลับไป ขุนพันธ์เริ่มพิพากษาตัวเองแล้วว่า ตกลงสิ่งที่ฉันทำลงไปมันคืออะไร หรือเราควรหยุดเสียที มันมีปีศาจในตัวเองที่มันน่ากลัวกว่าหรือเปล่า นี่คือความท้าทายในภาค 3มันคือปัญหาใหญ่ และเริ่มไกลตัวขุนพันธ์มากขึ้นๆ และเขาเองก็เริ่มค้นพบแล้วว่าตัวเองอาจจะไม่ใช่คำตอบของความดีงามหรือแม้กระทั่งคำว่าศรัทธาอีกต่อไป ความดีหรือศรัทธามันอยู่ที่ไหน หนังมันก็จะโยนพลังนี้กลับไปที่ประชาชนว่าเราจะฝากความหวังไว้ที่ซูเปอร์ฮีโร่คนเดียวหรือเปล่า ในภาค 3 มันเป็นประเด็นที่โตขึ้นผ่านวุฒิภาวะมามากขึ้น สงบนิ่งมากขึ้นตรงประเด็นมากขึ้น แต่บู๊กันหนักเหมือนเดิม เดือดเหมือนเดิม
✰สองเสือที่ขุนพันธ์เผชิญหน้าในภาคนี้ ทำไมต้องเป็นเสือมเหศวรกับเสือดำ
โดยรูทของหนังมันมีการวางแผนเอาไว้ทั้งหมดนับแต่เริ่มต้นแล้วว่า ขุนพันธ์จะต้องเผชิญกับสี่เสือภาคกลางในตำนาน จริงๆ แล้วมีห้าคน อัลฮาวียะลูเป็นคนแรก เขาคือโจรใต้ และสี่เสือภาคกลางก็จะมีเสือฝ้าย เสือใบ ซึ่งเราพูดถึงไปแล้ว ก็จะเหลือเสือมเหศวรกับเสือดำ เป็นการปิดท้ายไตรภาค ใครกันจะถูกพิพากษา พวกเสือ หรือว่าขุนพันธ์ ซึ่งจริงๆ มันมีตำนานมากมายเกี่ยวกับเสือเหล่านี้ มีเรื่องเล่า แต่เราไม่ได้ทำหนังชีวประวัติของเสือเหล่านี้ มันมีรากของความจริงอยู่ เราก็เอามาเป็นตัวละคร ทีนี้โดยคาแร็กเตอร์ แต่ละคนก็จะต่างกันไป อาคมที่เขาใช้ก็จะเป็นไปตามคาแร็กเตอร์ของแต่ละคน เนื่องจากขุนพันธ์จะต้องเจอกับศัตรูที่เก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ เป็นความท้าทายที่ตัวละครจะต้องเจอ
✰ทำไมถึงเลือกมาริโอ้มารับบทนี้ รวมถึงการร่วมงานกันในหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
โอ้เขาจะมีลักษณะแบบจารชนสองหน้า มีสองบุคลิก บุคลิกหนึ่งคือเฟรนด์ลี่ น่ารักมาก ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย ในขณะเดียวกันก็มีความกะล่อนบางอย่างที่มันพลิ้วไหว มันเหมือนเราเห็นตัวละครในหนัง Ocean’s 11 ตัวละครแบบนี้เป็นตัวละครนักปล้นที่ฉลาดมาก เก่งมาก มาริโอ้ดูเป็นคนฉลาด มีเคมีในตัว แล้วมาริโอ้กับผมก็สนิทสนมกันดี ทำงานด้วยกันมาแล้วหลายเรื่อง โอ้ก็จะบอกทำงานกับพี่โขมเหนื่อยทุกเรื่อง ไม่เคยให้เล่นอะไรธรรมดาๆ บ้างเลย แต่ก็เป็นความสนุกสนาน ถ้าเราคุยกันเมื่อไหร่ โอ้ก็จะมีการบ้านสไตล์โอ้ ให้โอ้ลองแบบนี้ไหม ซึ่งเราจะชอบให้โอ้เล่นในแบบที่โอ้คิดว่ามันได้เหรอพี่ โอ้ก็สู้อยู่แล้วเต็มที่ ข้อดีก็คือมาริโอ้ไม่งอแง มีความเป็นมืออาชีพ คือเรื่องนี้มันรวมนักแสดงมืออาชีพทุกคน
✰ในเรื่องนี้จะได้เห็นมาริโอ้เล่นแอ๊กชั่นแบบเต็มรูปแบบ ทั้งยิงปีน วิ่งฝ่าดงกระสุน ฝ่าดงระเบิด โหนสลิง
หนังแอ๊กชั่นมันเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีฉากเสี่ยงอันตราย เรามีการเตรียมนักแสดงดับเบิลไว้ให้ แต่ส่วนใหญ่โอ้จะบอกว่าขอเล่นเอง อย่างฉากที่เขาจะต้องโดดลงมาจากหอคอยสูงประมาณ 5-6 เมตร โหนสลิงลงมา ขณะเดียวกันก็ยิงสู้กับคนข้างล่าง แล้วบนหอคอยก็ถูกยิงถล่มระเบิดตู้มเป็นแบ๊กกราวด์ ทางภาพมันต้องพอดี ระเบิดจะลูกเล็กไปก็ไม่ได้ ต้องเป็นลูกไฟที่มันใหญ่พอสมควร ก็ซ้อมกันอย่างดี โอ้เล่นเองเลย หรือแม้กระทั่งฉากที่ต้องวิ่งไปบนพื้นที่มีระเบิด มีอยู่ทีหนึ่งวิ่งๆ อยู่ตู้ม เราเห็นในมอนิเตอร์คือหน้าโอ้สะบัดไป ระเบิดมันไม่ได้โดน แต่แรงอัดมันไปอัดหินเม็ดเล็กๆ ที่พื้นขึ้นมากระแทกหน้า โอ้โห ใจเราเสียแล้ว เกิดหน้าเขาเสียโฉมขึ้นมา พอสั่งคัทปุ๊บ ก็จะมีเสียงโวยวายตะโกน เฮ้ย ดูโอ้หน่อย เป็นอะไรไหม ก็จะมีเสียงโอ้ตะโกนออกมา โอเคพี่ แต่หูไม่ได้ยินแล้วนะ ยังล้อเล่นได้ แสดงว่าเขาก็ยังสนุกอยู่ หรือแม้กระทั่งฉากที่ต้องโชว์ความว่องไวของมเหศวรที่จะต้องปีนขึ้นไปบนนั่งร้านสูงๆ แล้วไล่จับกัน เป็นเกมที่พวกโจรใช้เล่นพนันกันตัวขุนพันธ์กับเสือมเหศวรจะต้องท้าทายกันก็ต้องปีนขึ้นไปบนนั่งร้าน กระโดดลงมา โอเค พวกนี้ก็ต้องใช้สตันท์อยู่แล้ว แต่ในฉากที่เห็นหน้าทั้งหมดมันต้องโดดจริง แล้วก่อนวันที่จะมาถ่าย โอ้บอกแล้วว่าขออนุญาตนะพี่ เพราะเขาไปเตะโดนเหล็กเท้าเขาเจ็บ พอถ่ายเข้าจริงๆ เหมือนความมันบังเกิด อย่างนี้เล่นเองได้ เราก็ได้หน้าเขาจริงๆ มา ซึ่งก็เยี่ยม มาริโอ้ “นายสุดยอดเลย”
✰นอกจากนี้ หนังยังอัดแน่นไปด้วยนักแสดงรับเชิญอีกคับคั่งด้วย
ครับ กลุ่มนักแสดงรับเชิญจะมีความหลากหลายมากที่เข้ามาร่วมทำให้ ขุนพันธ์ 3 สมบูรณ์มากขึ้น อันนี้เป็นการรับเชิญทุกคนจริงๆ เหมือนงานเลี้ยงรุ่นครับ รุ่นใหญ่รุ่นเล็กมากันหมด ก็จะมีตั้งแต่รุ่นใหญ่สุดคืออาโต ยอดรักที่เล่นหนังมาตั้งแต่ Good Morning Vietnam เคยเป็นตัวประกอบในหนัง Rambo อาโตเป็นโลโก้ของหนังไทยที่ผมเห็นมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แกก็มาเล่นในบทเสือเฒ่านะครับ พี่ฟ้าซึ่งตัวจริงเป็นกัปตันเครื่องบินก็มารับบทเป็นหนึ่งในกองโจร สน เดอะสตาร์ ก็คัมแบ๊กกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่จะกลับมายังไง ต้องไปดูกันในหนัง แล้วก็มีพี่อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับในดวงใจของผม ก็มารับบทเป็น บก. หัวหน้างานของเสือมเหศวรที่อยู่ในคราบของนักข่าว ยังมีอีกหลายคนครับมีพี่หนึ่ง-ชลัฏ ณ สงขลา มารับบทเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจหัวหน้าคนใหม่ของขุนพันธ์ พี่โอริเวอร์ บีเวอร์ ตัวเองก็งานเยอะอยู่แล้ว ก็ให้เกียรติมารับเชิญเป็นเสนาธิการทหารใหญ่ ที่เข้ามาเป็นอริในบางเรื่องกับขุนพันธ์ และอีกมากมายหลายคนครับ ยังมีพี่จิ๋ว-ปรีชา เกตุคำ ซึ่งถ้าใครเคยดูหนัง ไชยา สมัยก่อน แกจะเล่นเป็นเฮียแป๊ะฝีไม้ลายมือแพรวพราว ส่วนใหญ่พวกเขาก็อยู่คู่หนังไทยกันมายาวนาน เหล่านี้คือตัวละครรับเชิญชุดใหญ่ที่มากันเป็นกองทัพ
✰หนังภาคนี้ยังยกกองไปถ่ายทำกันในหลายที่มาก มีทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตกซึ่งบางโลเกชั่นก็มีความโหดซ่อนอยู่ อย่างโลเกชั่นที่จังหวัดน่าน
คือในภาคนี้เราค่อนข้างซีเรียส เราบอกกับทีมงานว่าเราอยากให้โลเกชั่นเป็นเหมือนตัวละครตัวหนึ่งของหนังเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันต้องบอกถึงความเปลี่ยนแปลง ซึ่งในเรื่องเหตุการณ์มันเกิดที่ประมาณภาคกลางตอนบนภาคเหนือตอนล่าง เราเลือกโฟกัสไปน่าน เนื่องจากเราตั้งใจให้มันเป็นชุมโจรที่มันเข้าถึงยากมาก มันมีหุบเขาสูงล้อมรอบติดกันเป็นปราการล้อมไว้ และทางเข้าออกมีทางน้ำเป็นเส้นทางหลัก ซึ่งลำน้ำที่เข้าไปก็ลำบาก มีความเชี่ยวกราก ต้องล่องแพ เราเลือกไปถ่ายกันที่อุทยานแห่งชาติแม่จริม เพื่อเอาแลนด์สเคป และเป็นฉากที่ต้องล่องแก่ง ผจญภัยกันเข้าไปก่อน กว่าจะไปเจอโจรได้ก็ต้องเจอกับความลำบากจากธรรมชาติของเกาะแก่งที่เขาเรียกว่าแกรนด์แคนยอนเมืองไทย ซึ่งทั้งสนุก ทั้งตื่นเต้น ทั้งน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
✰10 ปีแห่งผลงานแอ๊กชั่นไตรภาค อยากให้พูดถึงความเป็นหนังแอ๊กชั่นในแบบฉบับ ขุนพันธ์ ที่ “ไม่ได้สร้างกันง่ายๆ” และ “ไม่ได้มีให้ดูกันบ่อยๆ” เป็นการทิ้งท้าย
หนังอย่าง ขุนพันธ์ มันมีทั้งความเป็นเอพิคมีความเป็นหนังคอสตูมดีไซน์ มีวิชวลหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อม มันหลากหลายมาก จริงๆ แล้วมันคือการผสมผสานของหนังหลายๆ แบบที่มันมาเจอกับ Thai Culture แล้วมันกลายเป็นแอ๊กชั่นไทยๆ ซึ่งมันก็ดันมีความ weird ของภาษาหนังบางอย่างที่ใส่เข้าไปได้ เพียงแต่ว่าเราอาจไม่ค่อยเห็นผลิตกัน เพราะว่า มันทั้งยากและเหนื่อย มันหนักในทุกองค์ประกอบ เราวางมันอย่างละเอียดทุกอย่าง เราเห็นแม้กระทั่งว่าสกอร์ธีมของดนตรีก็เหมือนสมัยเด็กๆ ที่เราเคยได้ยินเสียงดนตรีประกอบของ Indiana Jones ภาพอินเดียน่า โจนส์ มันก็ปรากฏขึ้นมาในสมองเราทันที แล้วเราก็ใฝ่ฝันว่าเราอยากทำแบบนั้นให้มันเกิดขึ้นในประเทศนี้กับหนังไทยบ้าง เมื่อไหร่ที่ธีมเพลง ขุนพันธ์ ขึ้นมาก็เฮ้ย ภาพของขุนพันธ์มันปรากฏขึ้นในหัวของเด็กๆ ในเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ขึ้นมาเลย หน้าอนันดามีหนวดเขี้ยวโผล่ขึ้นมาเลยมันคือ value ของงานชิ้นนี้ที่พวกเราลงแรงลงใจที่เราจะทำกันไป เพราะฉะนั้นการปิดท้ายไตรภาคของ ขุนพันธ์ ถึงต้องใช้เวลา 10 ปีในการที่เรากรุยทางกันมาจนเราปิดผนึกมันได้อย่างเต็มที่ และเราเชื่อว่ามันเป็นการปิดเพื่อเติบโตมากกว่าในอนาคต มันคือหนึ่งในความหลากหลายของหนังไทยที่มีทั้งกลิ่นอายความเก่าและความใหม่ แต่คำว่าเก่าไม่ได้แปลว่ามันต้องเชย อย่างบางทีเราหยิบยืมภาษาหนัง รูปแบบของความเก่ามาใช้แต่ประเด็นที่เราพูด เราเชื่อมั่นว่ามันไม่เชยมันทันสมัย มันเป็นปัจจุบันมากๆ ด้วยซ้ำ ต่อให้มันเป็นหนังพีเรียดก็ตาม เพราะฉะนั้นก็ฝากขุนพันธ์ ไว้ด้วยนะครับ ขุนพันธ์ ภาค 3 ครับวันพิพากษา ฉลอง 10 ปี ยินดีนำเสนอจริงๆ ครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี