วอร์เนอร์ บราเธอร์ส พิกเจอร์ส เตรียมเปิดตัว “Mickey 17” ภาพยนตร์ไซไฟ-ดาร์ก คอมเมดี้ ผลงานแหวกแนวล่าสุดของผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ พงจุนโฮ (Parasite) ที่จะพาผู้ชมไปสัมผัสกับการผจญภัยในโลกอนาคต ผ่านมุมมองใหม่ของการเอาตัวรอดในสถานการณ์สุดขีด โดยดัดแปลงจากนวนิยาย Mickey7 ของเอ็ดเวิร์ด แอชตัน
โรเบิร์ต แพททินสัน รับบท มิกกี้ บาร์นส์, ลูกเรือสำรวจอาณานิคมบนดาวเคราะห์ที่เซ็นสัญญารับภารกิจเสี่ยงตาย “ยอมตายเพื่อความอยู่รอด” ทุกครั้งที่เขาตาย เขาจะได้รับการคืนชีพพร้อมความทรงจำเดิม ทว่าหลังจากการคืนชีพครั้งที่ 17 เขาเริ่มสงสัยว่าภารกิจที่เขาทำอยู่เป็นสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ หรือไม่ โดย นาโอมี แอ็คกี้เปิดใจบทบาทกับตัวละคร ‘นาชา’
ตอนที่คุณได้อ่านบทของ Mickey 17 เป็นครั้งแรก คุณคิดอย่างไร
นาโอมิ แอ็กกี้: ได้โปรดเถอะ ได้โปรดเถอะ พระเจ้า ให้ฉันได้เล่นหนังเรื่องนี้เถอะนะ! [หัวเราะ]
นาชามีอะไรที่ทำให้คุณอยากรับบทนี้
นาโอมิ แอ็กกี้: ฉันตกหลุมรักความมั่นใจและความหุนหันพลันแล่นของเธอค่ะ เธอใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อย่างเสรีเต็มที่และมั่นคงในความรักต่อมิคกี้อย่างเต็มที่…ไม่ต้องรู้สึกละอายใจเกี่ยวกับเรื่องไหนหรือเกี่ยวกับตัวเองเลย เธอจึงเป็นตัวละครที่สนุกมากๆ เลยล่ะค่ะ
คุณช่วยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับตัวละครนาชา เรื่องราวของเธอ และจุดที่เธออยู่ในหนังเรื่องนี้ได้ไหมครับ
นาโอมิ แอ็กกี้: มักจะมีคำถามผุดขึ้นมาเสมอว่าทำไมคนเราถึงเลือกขึ้นไปบนยานซึ่งเดินทางไปยังสถานที่ที่แตกต่างจากโลกที่เราอยู่โดยสิ้นเชิง เธอเป็นคนเก่งมากๆ โดยเฉพาะเรื่องการต่อสู้ เธอไม่เป็นรองใครเลยล่ะ นาชามีบางสิ่งที่ฉันคิดว่า… อืม โลกใบนี้ไม่เพียงพอสำหรับเธออีกต่อไปแล้ว เธอเป็นคนรักการผจญภัยและกล้าเสี่ยง ในเรื่องนี้เธอทำงานในหน่วยรักษาความปลอดภัยของยานเพื่อดูแลให้ทุกคนอยู่ในระเบียบและปลอดภัย มีหลายคนทำงานในตำแหน่งสูงกว่าเธอ แต่เธอเป็นคนประเภทที่จะไม่ยอมถูกหลอกโดยพวกผู้นำที่เตรียมสร้างโลกใบใหม่ เธอไม่หลงเชื่อคนพวกนั้น ไม่หลงใหลได้ปลื้มไปกับคนพวกนั้น เธอแค่ใช้โอกาสนี้เป็นเครื่องมือเพื่อนำเธอไปเริ่มต้นในที่ใหม่ๆ เท่านั้นเอง
คุณคิดอย่างไรกับฉากที่นาชามองตากับมิคกี้ในโรงอาหารเหมือนจะสื่อว่า “ใช่ เขานั่นแหละ”
นาโอมิ แอ็กกี้: เป็นคำถามที่ดีค่ะ ฉันคิดว่าเป็นเพราะเขาอยู่ตัวคนเดียว นาชามีบุคลิกที่พิเศษบางอย่าง เธอเป็นคนใจดีและชอบปกป้องคนอื่น เธอเหมือนสิงโตสาว พอเห็นใครอยู่ตามลำพังและดูสับสนผิดที่ผิดทาง เธอก็มักจะทำตามสัญชาตญาณตามธรรมชาติด้วยการบอกว่า “นี่ มานั่งใกล้ๆ สิ มารู้จักกัน” และฉันคิดว่าเธอก็สนใจเขาด้วยแหละ นั่นแหละประเด็น [หัวเราะ]
ครั้งแรกที่คุณได้พบผู้กำกับพงเป็นอย่างไรครับ คุณมีความคาดหวังอะไรมาก่อนไหม
นาโอมิ แอ็กกี้: ไม่ได้คาดหวังอะไรเลยค่ะ ตอนนั้นฉันอยู่บอสตัน ฉันได้พักหนึ่งวันจากงานหนังชีวประวัติวิทนีย์ ฮูสตัน แล้วฉันก็ประหลาดใจนะที่เขาอยากมาคุยกับฉัน เราคุยกันสนุกเลยล่ะค่ะ เป็นบทสนทนาที่เติมเต็มมากๆ เกี่ยวกับศิลปะและการทำงานในแบบที่เราชอบ ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเขาและวิธีการทำงานของเขา และเขาก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวฉัน ฉันรู้สึกเปิดกว้างและเป็นตัวของตัวเองได้จริงๆ ฉันตระหนักขึ้นมาว่าตัวเองชอบทำงานแบบไหนและอยากทำงานแบบไหนต่อไปในอนาคตข้างหน้า การสนทนาครั้งนั้นจึงเต็มไปด้วยความเปิดเผยจริงใจ และฉันก็ชอบที่ได้แชร์ความรักที่มีต่องานละครเวที ฉันเติบโตมากัพงานละครเวทีและเขาก็ชอบละครเวทีมากๆ เหมือนกัน ฉันว่าความเข้าใจกันมันเริ่มต้นขึ้นตรงจุดนั้นแหละ ฉันเลยคิดว่า “อืม ถ้าได้ทำงานกับเขาก็น่าจะเป็นประสบการณ์ที่สวยงามและเป็นการทดลองด้วยว่าฉันจะทำได้ไหม” ฉันแค่หวังว่าเขาจะให้ฉันทดสอบบท…ฉันคิดเผื่อไว้ว่า “อาจจะไม่ต้องงานนี้ก็ได้ อาจเป็นในอนาคต อย่างน้อยเขาก็ได้เห็นว่าฉันเป็นนักแสดงที่ไม่แย่นะ เขาอาจให้ฉันเล่นบทอื่นๆ ที่จัดการง่ายกว่านี้” แต่สุดท้ายฉันก็ดีใจมากค่ะที่ได้บทนี้มา
คุณได้บทแล้ว คุณไปที่กองถ่าย… การได้อยู่ในฉากที่ยิ่งใหญ่พร้อมทีมงานมากมายและมีผู้กำกับพงเป็นคนกุมบังเหียนเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อวันก่อนมีคนพูดเอาไว้น่าสนใจมากว่าตอนแรกคิดว่าตัวเองจะประหม่ากังวล แต่กลับเป็นว่า “เราได้รับการดูแลและทุกอย่างก็วิเศษมาก”
นาโอมิ แอ็กกี้: ที่พูดนั่นถูกเผงเลยค่ะ ครั้งล่าสุดที่ฉันได้อยู่ในฉากใหญ่ขนาดนั้นคือใน Star Wars อย่าเข้าใจผิดนะ ในเรื่องนั้นฉันก็ได้รับการดูแลอย่างดีค่ะ แต่ฉันอายุยังน้อยและนั่นก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรกด้วย ตอนแรกฉันเตรียมใจไว้ว่างานนี้จะต้องยิ่งใหญ่อลังการตามแบบหนังของสตูดิโอใหญ่ เตรียมใจไว้ว่าจะต้องทำงานนานหลายชั่วโมง แต่ที่ฉันไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่ามันจะสนุกมากๆ รู้สึกปลอดภัยมากๆ และทุกคนก็ตื่นเต้นที่จะได้เข้ากองถ่ายกันทุกๆ วันเลย ผู้กำกับพงช่วยทำให้ทุกคนรู้สึกมีคุณค่า มีความสำคัญ และมีความเป็นศิลปิน ฉันคิดว่ามีพื้นที่มากมายให้ทุกคนสร้างสรรค์ได้ มันเป็นงานที่สนุกมากจริงๆ นี่ขนาดฉันเป็นคนอังกฤษที่ขี้บ่นนะ แต่ไม่มีวันไหนเลยที่ฉันตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่า “เฮ้อ ไม่อยากไปทำงานเลย” ฉันตื่นก่อนเสียงนาฬิกาปลุก รีบอาบน้ำ กระโดดขึ้นรถ และตื่นเต้นที่จะได้ไปทำงาน นั่นเป็นเพราะบรรยากาศที่เขาสร้างขึ้นมา
คุณใช้เวลาส่วนใหญ่แสดงคู่กับมิคกี้ 17 แต่ก็ได้เล่นกับมิคกี้ 18 ด้วย การได้เล่นคู่กับโรเบิร์ต แพททินสันในทั้งสองบทนี้เป็นอย่างไรบ้าง
นาโอมิ แอ็กกี้: เขาเป็นคนที่มหัศจรรย์ค่ะ งานนี้เป็นเรื่องยากสำหรับนักแสดง การได้เห็นเขาจัดการกับบทบาทได้อย่างง่ายได้และยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลานั้นน่าทึ่งจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไง เพราะฉันไม่ได้เข้าไปอยู่ในความคิดของเขา แต่สิ่งที่เขาเลือกที่จะแสดงออกมานั้นละเอียดชัดเจนและเหมาะสมกับโทนของหนัง เขาเป็นนักแสดงที่เก่งมาก เก่งมากจริงๆ แค่นั้นเลย ฉันได้แต่มองด้วยความทึ่งและคิดว่า “ว้าว นี่มันสุดยอด...” และทุกอย่างก็เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ด้วย คุณจะได้เห็นเขาเล่นฉากนี้ แล้วย้อนกลับไปที่มอนิเตอร์... ด้วยกระบวนการที่เป็นขั้นเป็นตอน เพราะเขากำลังเล่นเป็นตัวละครสองตัวที่แตกต่างกัน ต้องอาศัยสมดุลที่เท่าเทียมกันระหว่างการเตรียมตัวและการทดลองเพื่อให้นักแสดงทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และฉันก็เคารพในผลงานที่เขาทำออกมากค่ะ
ทั้งผู้กำกับพงและโรเบิร์ต แพททินสันกล่าวว่าคุณเล่นบทนี้ได้ดุดันมาก และพวกเขาก็บอกว่านั่นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ คุณดึงความเข้มแข็งดุดันออกมาได้อย่างไร
นาโอมิ แอ็กกี้: ฉันรู้ค่ะ รู้อะไรไหม ตอนที่มาร์ค รัฟฟาโลรับบทเป็นเดอะ ฮัลค์ แล้วถูกถามว่า “คุณแปลงร่างได้ยังไง” เขาตอบว่า “คุณอยากรู้ความลับของผมไหม ผมโกรธตลอดเวลาไงล่ะ” ที่จริงฉันไม่ได้โกรธตลอดเวลานะคะ แต่ฉันมีตัวตนบางส่วนที่เก็บเอาไว้เฉพาะในยามจำเป็น เป็นความเข้มแข็งดุดันที่ฉันจะดึงออกมาใช้ก็ต่อเมื่อสถานการณ์เรียกร้องเท่านั้น โชคดีที่ในชีวิตจริงฉันไม่เคยต้องใช้มัน ฉันก็เลยเก็บมันไว้สำหรับการแสดง
คุณคิดว่าหนังของผู้กำกับพงมีอะไรที่ดึงดูดผู้ชมจากทั่วโลก
นาโอมิ แอ็กกี้: เป็นคำถามที่เยี่ยมเลยค่ะ เขาเป็นคนที่ลงลึกกับตัวเอง กับความเป็นมนุษย์ ความกลัว และความหวังของเขาเอง กับความรู้สึกที่เขามีต่อโลกและสิ่งที่เขาเห็น เขาเชื่อมโยงกับสิ่งเหล่านี้อย่างแนบแน่น แล้วก็สื่อสารออกมาได้อย่างละเอียดชัดเจนจนมันกลายเป็นเรื่องสากล ฉันว่าเพราะอย่างนี้แหละค่ะ เขาสร้างสมดุลระหว่างอารมณ์ขัน ความลึกซึ้ง ความอบอุ่น และความกลัว บางครั้งทั้งหมดก็รวมอยู่ในฉากเดียว ซึ่งก็ต้องอาศัยการเตรียมการและความใส่ใจในรายละเอียด รวมถึงการตระหนักรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัว สิ่งที่ผู้คนรู้สึก และความรู้สึกของตัวคุณเองในโลกใบนั้น อันที่จริงแล้วฉันว่าถ้าได้ลองเข้าไปนั่งอยู่ในใจเขาสักวันหนึ่งก็คงจะวิเศษเลย เพราะฉันคิดว่าเขาเป็นนักเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมและกำลังอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพ ผลงานที่ผ่านมาของเขานั้นน่าทึ่ง และเขาก็ยังคงสืบสานเอกลักษณ์นั้นเอาไว้ แค่ได้คุยกับเขาก็เป็นเกียรติแล้ว ฉันรู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้นเวลาได้คุยกัน เพราะฉะนั้นการได้ทำงานร่วมกับเขาจึงเป็นบรรยากาศที่แตกต่างและยอดเยี่ยมอย่างที่สุดค่ะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี