24 พฤษภาคม 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน แดเนียล เอลส์เบิร์ก อดีตนักวิเคราะห์ด้านการทหารอาวุโสผู้สร้างชื่อจากการขุดคุ้ย "เอกสารลับเพนตากอน" เปิดเผยสำเนาเอกสารลับที่เผยให้เห็นว่า นักวางแผนกลยุทธ์ของกองทัพสหรัฐเสนอแผนโจมตีจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์เมื่อปี 2501 เพื่อปกป้องไต้หวันจากการรุกรานของกองทัพคอมมิวนิสต์จีน
รายงานของเอเอฟพีกล่าวว่า เอลส์เบิร์กวัย 90 ปีในปัจจุบัน นำสำเนาเอกสารนี้เผยแพร่ทางออนไลน์โดยนิวยอร์กไทมส์รายงานเรื่องนี้เป็นที่แรกเมื่อวันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม เขาบอกว่าตัดสินใจนำเอกสารลับเกี่ยวกับการศึกษาวิกฤติไต้หวันช่วงต้นทศวรรษ 1970 ที่เขาทำสำเนาไว้ ออกเผยแพร่ในช่วงเวลานี้ เนื่องจากมีความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐกับจีนเกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน เอกสารลับเหล่านี้อนุญาตให้เปิดเผยต่อสาธารณะเพียงบางส่วนเมื่อปี 2518
เอลส์เบิร์กซึ่งสร้างชื่อจากการเปิดโปงเอกสารลับสุดยอดของเพนตากอนเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ที่เรียกขานในชื่อว่า "เพนตากอนเปเปอร์ส" เมื่อปี 2514 กล่าวว่า นักวางแผนกลยุทธ์ของสหรัฐสันนิษฐานกันว่า สหภาพโซเวียตจะช่วยเหลือจีนและตอบโต้สหรัฐด้วยอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน ซึ่งเป็นราคาที่พวกเขาเห็นว่าคุ้มกับการปกป้องไต้หวัน
ผู้จัดทำเอกสารฉบับนั้นเขียนไว้ว่า หากจีนรุกรานไต้หวัน พลเอกนาธาน ทไวนิง ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐในขณะนั้นกล่าวไว้ชัดเจนว่า สหรัฐจะใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีฐานทัพอากาศหลายแห่งของจีน ป้องกันไม่ให้แผนการทัพเพื่อขัดขวางทางอากาศของจีนประสบความสำเร็จ และหากแผนนี้ไม่สามารถหยุดยั้งการรุกรานได้ สหรัฐก็ "ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากโจมตีด้วยนิวเคลียร์ลึกเข้าไปในแผ่นดินของจีน เหนือสุดถึงเซี่ยงไฮ้"
อย่างไรก็ดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีสหรัฐในตอนนั้น ตัดสินใจพึ่งพาอาวุธตามแบบก่อน
วิกฤติไต้หวันปี 2501 ยุติลงเมื่อกองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหยุดการยิงปืนใหญ่ถล่มเกาะที่อยู่ภายใต้การควบคุมของไต้หวัน ปล่อยให้กองทัพชาตินิยมภายใต้การนำของเจียง ไคเช็ก ควบคุมเกาะนั้น
ทุกวันนี้จีนยังคงถือว่าไต้หวันเป็นมณฑลกบฏที่สักวันหนึ่งจะกลับคืนสู่แผ่นดินใหญ่ โดยอาจด้วยการใช้กำลังหากจำเป็น รัฐบาลสหรัฐรับรองจีนเดียวและสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเมื่อปี 2522 แต่ยังคงรักษาความสัมพันธ์กับรัฐบาลไต้หวันไว้ และถือเป็นพันธมิตรทางทหารที่สำคัญที่สุดของไต้หวัน
สหรัฐมีกฎหมายฉบับหนึ่งที่บัญญัติว่าสหรัฐต้องช่วยไต้หวันปกป้องตนเองหากเกิดสงคราม แต่หลายทศวรรษที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐใช้นโยบาย "กำกวมทางยุทธศาสตร์" โดยไม่ระบุให้ชัดเจนว่าสภาพการณ์ใดที่จะทำให้สหรัฐเข้าแทรกแซงทางทหารในนามของไต้หวัน
หลายเดือนมานี้ กองทัพอากาศจีนปฏิบัติการรุกล้ำเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันตนเองของไต้หวันบ่อยครั้งขึ้น กองทัพสหรัฐเองก็ปฏิบัติการเดินเรือเพื่อยืนยัน "เสรีภาพในการเดินเรือ" ในช่องแคบไต้หวันบ่อยครั้งเช่นกัน
คาดว่า อีกไม่นาน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะประกาศยุทธศาสตร์ของเขาเกี่ยวกับจีน ท่ามกลางเสียงเรียกร้องเพิ่มมากขึ้นให้เขาแสดงความมุ่งมั่นอย่างเปิดเผยในการปกป้องไต้หวันทางทหาร.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี