เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2566 เว็บไซต์ นสพ. The Jakarta Post ของอินโดนีเซีย เสนอข่าว China expands nuclear arsenal as global tensions grow : study อ้างการเปิดเผยของ สภาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสต็อกโฮล์ม (SIPRI) ประเทศสวีเดน ว่า จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ทั้งหมดในหมู่มหาอำนาจนิวเคลียร์ทั้ง 9 แห่ง ได้แก่ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส อินเดีย อิสราเอล เกาหลีเหนือ ปากีสถาน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ลดลงเหลือ 12,512 หัวเมื่อต้นปี 2566 จาก 12,710 หัวเมื่อเริ่มต้น ของปี 2565
อย่างไรก็ตาม คลังแสงนิวเคลียร์ของหลายประเทศ โดยเฉพาะจีน เติบโตขึ้นเมื่อปี 2565 และมหาอำนาจปรมาณูอื่นๆ ยังคงปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอเมื่อความตึงเครียดทางการเมืองสูงขึ้น โดย แดน สมิธ (Dan Smith) ผู้อำนวยการของ SIPRI กล่าวว่า เรากำลังใกล้เข้ามา หรืออาจจะถึงจุดสิ้นสุดระยะเวลาอันยาวนานของจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลกที่ลดลง
รายงานของ SIPRI ชี้ว่า 9,576 หัวรบนืวเคลียร์ อยู่ในคลังแสงทางการทหารเพื่อการใช้งานที่มีศักยภาพ 86 แห่ง มากกว่าในปีก่อนหน้านั้น โดย SIPRI จำแนกความแตกต่างระหว่างคลังสินค้าของประเทศต่างๆ ที่พร้อมใช้งานและสินค้าคงคลังทั้งหมด ซึ่งรวมถึงคลังสินค้าเก่าที่มีกำหนดจะรื้อถอน ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากจีน ซึ่งเพิ่มสต็อกหัวรบจาก 350 เป็น 410 หัวรบ
ขณะที่ อินเดีย ปากีสถาน และเกาหลีเหนือก็เพิ่มคลังอาวุธของพวกเขาเช่นกัน และรัสเซียก็เพิ่มขึ้นในระดับที่เล็กลง จาก 4,477 เป็น 4,489 ในขณะที่มหาอำนาจนิวเคลียร์ที่เหลือยังคงรักษาขนาดของคลังแสงไว้ โดยรัสเซียและสหรัฐอเมริการวมกันยังคงมีอาวุธนิวเคลียร์เกือบร้อยละ 90 ของอาวุธนิวเคลียร์ทั้งโลก
“คลังหัวรบนิวเคลียร์ที่ใช้งานได้จริง ตัวเลขเหล่านี้เริ่มเพิ่มขึ้น แต่ยังห่างไกลจากกว่า 70,000 ที่เห็นในช่วงทศวรรษ 1980 (ปี 2523-2532) ภาพรวมคือเรามีจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ลดลงมากว่า 30 ปีแล้ว และเราเห็นว่ากระบวนการดังกล่าวกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว” สมิธ กล่าว
SIPRI ยังตั้งข้อสังเกตดด้วยว่า ความพยายามทางการทูตในการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์และการลดอาวุธได้ประสบกับความล้มเหลวหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ตัวอย่างเช่น สหรัฐฯ ระงับการเจรจาทวิภาคีด้านยุทธศาสตร์เสถียรภาพกับรัสเซียหลังจากการรุกราน เช่นเดียวกับรัสเซีย ในเดือน ก.พ. 2566 ได้ประกาศว่ากำลังระงับการเข้าร่วมในสนธิสัญญาว่าด้วยมาตรการลดเพิ่มเติมและการจำกัดอาวุธโจมตีทางยุทธศาสตร์ปี 2553 (ฉบับใหม่) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ฉบับสุดท้ายที่เหลืออยู่ซึ่งจำกัดกำลังนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ของทั้ง 2 ชาติ
การเพิ่มขึ้นของคลังแสงไม่สามารถอธิบายได้จากสงครามในยูเครน เนื่องจากต้องใช้เวลานานกว่าในการพัฒนาหัวรบใหม่ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนดังกล่าวเป็นกลุ่มประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง นอกจากนี้ จีนยังลงทุนมหาศาลในทุกส่วนของกองทัพ เนื่องจากเศรษฐกิจและอิทธิพลของตนเติบโตขึ้น ซึ่ง สมิธ กล่าวว่า สิ่งที่เราเห็นคือจีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลก นั่นคือความเป็นจริงในยุคของเรา
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี