กรุงเทพฯ (ซินหัว) - ผู้เชี่ยวชาญชาวไทยแสดงทัศนะว่าแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ของจีนเสริมสร้างความร่วมมือด้านกำลังการผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียน รวมถึงไทย และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนและจีนในด้านต่างๆ เช่น การค้าและการผลิตให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวเมื่อไม่นานนี้ว่ากลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่มากมาย และมีโอกาสสำคัญที่จะร่วมมือกับจีนทั้งด้านการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและความร่วมมือด้านกำลังการผลิต

จีนเป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญที่สุดของกลุ่มประเทศอาเซียน ขณะการยกระดับทางอุตสาหกรรมและการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงของจีนส่งอิทธิพลต่อกลุ่มประเทศอาเซียนในวงกว้าง ด้านความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และข้อตกลงการค้าเสรีจีน-อาเซียน ได้ส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนและจีนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

สมภพกล่าวว่า ข้อตกลงเหล่านี้ได้ขยายการทำงานร่วมกันไปยังกลุ่มธุรกิจเกิดใหม่ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมต่อถึงกัน ซึ่งบ่มเพาะความเป็นหุ้นส่วนที่สร้างผลประโยชน์ให้แก่กันขณะหลายปีที่ผ่านมา การลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่องของกลุ่มบริษัทจีนขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์พลังงานใหม่

สมภพยังเน้นย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือด้านดั้งเดิมต่างๆ และขยับขยายการทำงานร่วมกันในกลุ่มธุรกิจเกิดใหม่อย่างอุตสาหกรรมสีเขียว อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ และการบริการเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่ออัดฉีดพลังความคึกคักเพิ่มสู่ความร่วมมือของการร่วมพัฒนาแผนริเริ่มฯ

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทย ระบุว่าการยื่นขอลงทุนของต่างชาติในช่วงครึ่งแรกของปีนี้รวมอยู่ที่ 364,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีจีนเป็นแหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ขนาดใหญ่ที่สุดของไทย