ซานฮวน/คิงสตัน/ปอร์โตแปรงซ์ (เอพี/รอยเตอร์ส/บีบีซี นิวส์) - นายกรัฐมนตรี เอเรียล อองรี ของเฮติ ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งแล้ว หวังยุติเหตุความรุนแรงในประเทศ หลังจากกลุ่มติดอาวุธและแก๊งอาชญากรรมขู่ว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หากเขายังไม่ลงจากตำแหน่ง

นายกรัฐมนตรี เอเรียล อองรี ออกแถลงการณ์ผ่านคลิปวีดีโอที่โพสต์ลง X ว่ารัฐบาลที่เขาเป็นผู้นำไม่สามารถเพิกเฉยต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้ และไม่มีการเสียสละใดจะยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับเฮติเขาจะลาออกจากตำแหน่งทันทีเมื่อมีการแต่งตั้งสภาที่ปรึกษาเปลี่ยนผ่านและรัฐบาลรักษาการเสร็จสิ้น ระหว่างนี้ขอให้ประชาชนชาวเฮติอยู่ในความสงบ และร่วมมือกันทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความสงบและเสถียรภาพกลับคืนสู่ประเทศโดยเร็ว

โดยขณะนี้ อองรีพำนักอยู่ในดินแดนเปอร์โตริโก หลังเดินทางไปทำภารกิจในเคนยาและไม่สามารถกลับเข้าประเทศได้เพราะเกิดความไม่สงบ และสนามบินของเฮติถูกปิดกั้นการเดินทางเข้า-ออกประเทศ ขณะที่ตัวเขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021 หลังจากประธานาธิบดี โฌเวแนล โมอิส ผู้นำเฮติในขณะนั้นถูกลอบสังหาร แต่อองรีเลื่อนแผนจัดการเลือกตั้งในเฮติมาโดยตลอด อ้างว่าต้องการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในประเทศก่อน

ด้านแคริคอม (CARICOM) หรือประชาคมและตลาดร่วมแคริบเบียน ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศแถบแคริบเบียนรับรองการลาออกของอองรี ที่ลงจากตำแหน่งเพื่อความสงบสุขของประเทศ หลังจากชาติสมาชิกจัดการประชุมด่วนเมื่อวันจันทร์พร้อมเชิญทูตจากสหรัฐฯ ฝรั่งเศส แคนาดา และสหประชาชาติ เข้าหารือวิกฤตความมั่นคงในเฮติ จากกลุ่มอาชญากรซึ่งควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงปอร์โตแปรงซ์ ก่อความรุนแรงตามท้องถนนเพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรีอองรีจนนายกรัฐมนตรี แอนดรูว์ โฮลเนส ของจาเมกา ซึ่งเป็นประเทศเจ้าภาพการประชุมฉุกเฉินเตือนว่า เฮติเสี่ยงต่อการเกิดสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ หากไม่รีบปฏิรูปการเมือง

ในส่วนของ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งใช้เวลา7 ชั่วโมง ในการเจรจาที่จาเมกา ยืนยันการลาออกของผู้นำเฮติเช่นกัน และยินดีที่จะให้อองรีลี้ภัยอยู่ในดินแดนของสหรัฐฯ หากเขารู้สึกไม่ปลอดภัยในประเทศของตนเอง ก่อนหน้านั้น เขาเสนอเงินช่วยเหลืออีก 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อปูทางให้กับกองกำลังความมั่นคงจากเคนยาเข้ามาดูแลจัดการด้านความปลอดภัยในเฮติ และอีก 33ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

ทั้งนี้ แก๊งอาชญากรจำนวนมากเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเฮติ ประเทศที่ยากจนที่สุดในซีกโลกตะวันตก และในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วิกฤตได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยพบศพเกลื่อนกลาดตามท้องถนน โจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ช่วยเหลือนักโทษจากเรือนจำบุกปล้นทรัพย์สินของรัฐครั้งใหญ่ ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัว และความอดอยากเพิ่มมากขึ้นของผู้คน อีกทั้งแกนนำแก๊งอาชญากรรายใหญ่ ยังประกาศว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศ หากนายกรัฐมนตรีเฮติไม่ยอมลงจากตำแหน่ง