วันที่ 2 เมษายน 2567 สำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ เสนอรายงานพิเศษ Thailand’s economy stumbles as Philippines, Vietnam, Indonesia race ahead ว่าด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนักในประเทศไทย โดยเฉพาะชีวิตของประชากรระดับฐานราก อาทิ Kridsada Ahjed ชายวัย 40 ปี อาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาหนี้นอกระบบ แต่จะไม่กู้ก็ไม่ได้เพราะไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินในระบบ เนื่องจากไม่มีทรัพย์สินใดที่ใช้เป็นหลักประกันได้มากพอที่ธนาคารจะอนุมัติเงินกู้
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปี 2566 พบว่า หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ร้อยละ 87 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศ ซึ่งประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มชาติที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซ้ำร้ายในบรรดาหนี้สิ้นเหล่านั้นจำนวนมากเป็นหนี้นอกระบบซึ่งคิดดอกเบี้ยอัตราสูงมาก นักวิเคราะห์กล่าวว่า หลังการเติบโตอย่างมั่นคงมาหลายทศวรรษ ประเทศไทยกำลังแสดงคุณลักษณะทั้งหมดของปัญหากับดักรายได้ปานกลาง โดยผลิตภาพที่ต่ำและการศึกษาที่ย่ำแย่ ส่งผลให้แรงงานส่วนใหญ่ติดอยู่กับงานที่ได้รับค่าตอบแทนต่ำและมีทักษะต่ำ
ศ.ดร.ภวิดา ปานะนนท์ (Pavida Pananond) อาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่เพียงแต่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความต้องการที่กลับมาอย่างช้าๆ จากตลาดส่งออกหลักๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกาภิวัตน์ที่ส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันอีกด้วย การค้าระหว่างประเทศได้รับแรงผลักดันจากบริการเสริมที่ต้องใช้ทักษะและความสามารถในท้องถิ่นที่สูงขึ้น สิ่งนี้จำเป็นต้องมีการยกระดับกำลังแรงงานและความซับซ้อนของบริษัทท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ นอกเหนือจากการแจกเอกสารระยะสั้นและสิ่งจูงใจในการลงทุน
ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ร่วมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 แต่ประเทศไทยกลับไม่เป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจของไทยขยายตัวเพียงร้อยละ 1.9 ในปี 2566 ตามรายงานของนักวางแผนเศรษฐกิจของรัฐ เทียบกับการเติบโตร้อยละ 5 หรือสูงกว่าในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจพัฒนาแล้วอย่างมีนัยสำคัญและมีความคาดหวังการเติบโตที่ต่ำกว่า ก็ยังมีการขยายตัวที่ร้อยละ 3.7
แม้ภาคการท่องเที่ยวหลักของประเทศไทยซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น แต่แนวโน้มในปี 2567 ก็ไม่ได้ดูดีขึ้นมากนัก เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2567 ธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 2.8 ในปีนี้ ซึ่งดีกว่าการคาดการณ์ของหน่วยงานในประเทศไทยเองเล็กน้อย ขณะที่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย คาดว่าจะเติบโตระหว่างร้อยละ 4.3 ถึงร้อยละ 5.8
หลังการปกครองโดยรัฐบาลทหารนานเกือบทศวรรษ เศรษฐา ทวีสิน (Srettha Thavisin) ชายวัย 62 ปี อดีตเจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์ ผู้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทย จากการร่วมจัดตั้งรัฐบาลในลักษณะประนีประนอมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพื่อสกัดเส้นทางสู่การเป็นรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ซึ่งนับตั้งแต่ เศรษฐา ได้รับความเห็นชอบให้เป็นนายกฯ เมื่อเดือน ส.ค. 2566 เขาได้ประกาศว่าประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ พร้อมกับเดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหาข้อตกลงการค้าเสรี และส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานสำหรับห่วงโซ่อุปทานการผลิต โดย เศรษฐา เรียกตนเองว่า “นักขาย (Salesman)” ด้วยความภาคภูมิใจ
แต่หลังจากหลายปีที่กรุงเทพฯ หลบเลี่ยงการปฏิรูปเศรษฐกิจขั้นพื้นฐาน ก็มีความกังวลว่าเศรษฐกิจอาจต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ยาก นักวิจารณ์กล่าวว่า ผู้นำทางทหารของไทยหันเหความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกมานานหลายปี พึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนมากเกินไป และละเลยการจัดหาเงินทุนให้กับระบบการศึกษาที่สามารถผลิตแรงงานที่เหมาะสมกับยุคดิจิทัล ธนาคารโลกระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือน มี.ค. 2567 ว่า 2 ใน 3 ของเยาวชนและผู้ใหญ่ชาวไทยต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของการอ่านออกเขียนได้ขั้นพื้นฐาน ในขณะที่ 3 ใน 4 มีทักษะด้านดิจิทัลต่ำ ในขณะเดียวกัน ความสามารถทางภาษาอังกฤษของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ต่ำที่สุด อาเซียน
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เศรษฐา เสนอให้แจกเงินสด 10,000 บาท ($280) แก่คนไทยทุกคนที่มีอายุมากกว่า 16 ปี ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เชิงนโยบายและคู่แข่งทางการเมืองมองว่าเป็นนโยบายที่สิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์ นอกจากนั้นยังมีนโยบายขยายการเข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าไปยังประเทศต่างๆ มากขึ้น และทำให้คาสิโนถูกกฎหมาย ซึ่ง สิริกัญญา ตันสกุล (Sirikanya Tansakul) รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า นายกฯ เศรษฐา ผชิญกับความเสี่ยงทางการเมืองจากการทำและไม่ทำมาตรการเหล่านี้
“ด้วยโครงการแจกเงินสดครั้งใหญ่ เขาเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมายจากการกู้ยืมเงินของรัฐบาลที่ผิดกฎหมาย และความไม่พอใจของแนวร่วม แต่หากเขาไม่สามารถดำเนินการหาเสียงเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดนี้ได้ เขาก็ต้องเผชิญกับความไม่ไว้วางใจจากสาธารณชน” สิริกัญญา กล่าว
เศรษฐายังพัวพันกับข้อพิพาทสาธารณะที่ไม่ปกติกับธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเขาเรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโต อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางปฏิเสธที่จะลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ร้อยละ 2.5 โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาความเป็นอิสระ ขณะที่ในการประเมินที่ย่ำแย่เมื่อต้นปี 2567 ปราณี สุทธศรี (Pranee Sutthasri) เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างร้ายแรง พร้อมชี้ให้เห็นถึงพลังระดับโลก รวมถึงการชะลอตัวของจีนและสงครามในยูเครนและตะวันออกกลาง ตลอดจนความล้มเหลวของไทยในการลงทุนในการฝึกอบรมประชากรสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัล
“มันจะยังคงล้าหลังต่อไป หากประเทศไทยยังคงผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นปลายที่ผู้คนไม่ต้องการอีกต่อไป แทนที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” อัลจาซีรา อ้างความเห็นของ ปราณี ที่กล่าวกับสื่อเมื่อเดือน ม.ค. 2567
รายงานของสื่อกาตาร์กล่าวต่อไปว่า สำหรับเศรษฐาซึ่งไม่ใช่ตัวเลือกแรกของประชาชนในการเลือกตั้ง เศรษฐกิจที่ไม่ดีก็มีความเสี่ยงทางการเมือง ศ.ดร.ภวิดา จาก ม.ธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า คลื่นใต้น้ำทางการเมืองที่ยังคงเข้ามาแทรกแซงการเมืองในประเทศถือเป็น “ธงแดง” สำหรับนักลงทุน และตอนนี้พวกเขามีทางเลือกในที่อื่นโดยไม่ต้องรอจนกว่าประเทศไทยจะจัดการ
อัลจาซีรา ทิ้งท้ายด้วยการกลับมาเล่าถึงชีวิตคนไทยระดับฐานรากอีกครั้ง Hoo Saengbai หญิงวัย 61 ปี อาชีพขายล็อตเตอรี่ในกรุงเทพฯ กล่าวว่า รายได้ต่อเดือนของเธอลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 110 เหรียญสหรัฐ (ราว 3,900 [ท) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้คนลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และยอมรับว่า ตนไม่มั่นใจในรัฐบาลของประเทศไทยไม่ว่าชุดใดๆ อีกต่อไป
“ฉันแค่พยายามวางอาหารไว้บนโต๊ะวันละครั้ง ฉันกินถ้าฉันมีรายได้ และฉันไม่กินถ้าฉันไม่มีรายได้ นั่นคือทั้งหมดที่มี” หญิงวัย 61 ปีรายนี้ กล่าว
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.aljazeera.com/economy/2024/4/1/thailands-economy-stumbles-as-philippines-vietnam-indonesia-race-ahead
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี