เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2567 สถานีโทรทัศน์ France24 ของฝรั่งเศส รายงานข่าว Eiffel Tower ticket prices increase by 20% in bid to save Paris’s ‘Iron Lady’ ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นไปบน “หอไอเฟล” สัญลักษณ์ของกรุงปารีส เพื่อชมเมืองหลวงของฝรั่งเศสจากมุมที่สูงที่สุด ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมมากกว่า 35 ยูโร หรือราว 1,400 บาท สำหรับผู้ใหญ่ 1 คน ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 20 จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 29.1 ยูโร หรือราว 1,164 บาท
ด้วยรายได้จากการขึ้นราคาซึ่งใช้กับตั๋วทั้งหมด Société d'Exploitation de la Tour Eiffel (SETE) ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนที่บริหารจัดการสถานที่สำคัญแห่งนี้ หวังที่จะปรับสมดุลของบริษัท ซึ่งได้รับผลกระทบจากการขยายเวลาปิดของหอไอเฟล สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และพลิกหน้าประเด็นข้อพิพาทด้านแรงงานที่นำไปสู่การปิดหอไอเฟลชั่วคราวในช่วงวันที่ 19-24 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวเข้าชมหอไอเฟลประมาณ 6.3 ล้านคน สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2558
SETE ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนที่ปารีสถือหุ้นร้อยละ 99 กำลังดิ้นรนเพื่อฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งการที่หอไอเฟลปิดตัวลงเป็นเวลาหลายเดือน ส่งผลให้รายได้ลดลง 4 เท่าในปี 2563 เมื่อไซต์ใช้เงิน 25 ล้านยูโร (ราว 1 พันล้านบาท) เทียบกับ 99 ล้านยูโร (เกือบ 4 พันล้านบาท) ในปีก่อน การขาดแคลนจึงสูงถึง 113 ล้านยูโร (กว่า 4.5 พันล้านบาท) ในช่วงปี 2563-2565 ตามการประมาณการของศาลาว่าการกรุงปารีส
ในเวลาเดียวกัน ค่าบำรุงรักษาที่ไซต์งานพุ่งสูงขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเกิน 130 ล้านยูโร (5,200 ล้านบาท) พนักงาน 360 คนของหอคอยแห่งนี้ได้ชี้นิ้วไปที่ SETE และที่ศาลาว่าการกรุงปารีส โดยอ้างว่าความล่าช้าทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยหอไอเฟลนั้นตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) วิศวกรผู้ออกแบบ ซึ่งในช่วงที่ยังมีชิวิตอยู่ ได้แนะนำว่าควรทาสีใหม่ทุกๆ 7 ปี โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญที่สำคัญของกระบวนการอนุรักษ์โครงสร้างโลหะ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการทาสีครั้งที่ 20 เริ่มขึ้นในปี 2563 หรือ 11 ปีหลังจากการดำเนินการครั้งก่อนหน้านั้น
SETE อ้างว่า ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเพิ่มเติมเนื่องจากความจำเป็นในการบำบัดตะกั่วที่พบในการเคลือบสีครั้งก่อน เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่มีการลอกคราบขนาดใหญ่ของหอคอยก่อนที่จะทำการทาสีใหม่ การทาสีใหม่เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว และได้มีการปรับปรุงอนุสาวรีย์ให้ทันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปารีสเป็นเจ้าภาพในปี 2567 พร้อมทั้งเปลี่ยนสีของหอคอยจากสีเบจสีเทาเป็นสีน้ำตาลเหลืองซึ่งเป็นสีโปรดของไอเฟล แต่งานยังไม่เสร็จสมบูรณ์โดยมีเวลาเหลืออีกเพียงเดือนกว่าก่อนพิธีเปิดการแข่งขันในวันที่ 26 ก.ค. 2567 ซึ่งจะล่าช้ากว่ากำหนดอย่างน้อย 4 ปี
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า SETE ยังต้องชดเชยค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่เพิ่มขึ้นอย่างมากที่จ่ายให้กับเมืองปารีสเพื่อดำเนินการสถานที่สำคัญแห่งนี้ ค่าธรรมเนียมซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 8 เป็น 15 ล้านยูโร (จาก 320 เป็น 600 ล้านบาท) ในปี 2564 และถูกกำหนดให้เพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านยูโร (2 พันล้านบาท) ภายในปี 2568 สหภาพแรงงานทั้งสองแห่งของ SETE เห็นว่าจำนวนเงินนั้นไม่สมเหตุสมผล และวิพากษ์วิจารณ์ศาลาว่าการกรุงปารีสในเรื่องการแสวงหาผลกำไรด้วยต้นทุนทั้งหมดและทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งคุกคามอนาคตของทั้งหอไอเฟลและบริษัท
ในเดือน พ.ค. 2567 ราชิดา ดาติ (Rachida Dati) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ซึ่งไปอยู่ในที่ประชุมสภากรุงปารีสในซีกฝ่ายค้าน ได้ให้ความเห็นอย่างดุเดือด ด้วยการโจมตี แอนน์ ฮิดาลโก (Anne Hidalgo) นายกเทศมนตรีกรุงปารีส ว่ากำลังทำลายทางการเงินของหอไอเฟล ทั้งนี้ ทางปารีสชี้ให้เห็นว่าค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรวมองค์ประกอบตัวแปรที่คำนวณตามรายได้ และยืนยันว่าได้ลดค่าธรรมเนียมเมื่อเทียบกับสิ่งที่กำหนดไว้ในข้อตกลงกับ SETE
ความพยายามนี้แสดงถึง "รายได้ล่วงหน้า 50 ล้านยูโร" จนกระทั่งสิ้นสุดสัญญา ซึ่งถูกผลักกลับไปในช่วงปลายปี 2574 ตามคำชี้แจงของรองนายกเทศมนตรี พอล ไซมอนดัน (Paul Simondon) ทั้งนี้ สภาเเมืองปารีสอนุมัติให้เพิ่มราคาตั๋วเข้าชมหอไอเฟลอีกร้อยละ 20 รวมถึงการสนับสนุนทางการเงิน 15 ล้านยูโรสำหรับ SETE เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2567 นอกจากนี้ สภายังลงมติให้เพิ่มทุน 60 ล้านยูโร (2.4 พันล้านบาท) สำหรับบริษัทจัดการตั้งเป้าเอาชนะผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อเดือน ก.ค. 2564
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า มาตรการใหม่ที่ได้รับการเจรจาในเดือน ก.พ. 2567 เพื่อยุติการประท้วงหยุดงาน 6 วัน มีเป้าหมายเพื่อให้บริษัทกลับมามีการเงินที่สมดุลภายในปี 2568 ซึ่งผู้จัดการของ SETE กำลังทำงานเพื่อจัดตั้งหน่วยงานเพื่อช่วยให้พนักงานรับทราบข้อมูลโมเดลธุรกิจและงานบำรุงรักษาของหอไอเฟล จะมีการทุ่มลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 156 ล้านยูโร (กว่า 6 พันล้านบาท) สำหรับงานบำรุงรักษาสถานที่ ซึ่งรวมถึงบทสรุปของโครงการทาสีใหม่ครั้งที่ 20 เพื่อฟื้นฟูแลนด์มาร์กสำคัญของปารีส ที่ปัจจุบันมีอายุ 135 ปีแล้ว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี