ลอนดอน (รอยเตอร์) - ผลการศึกษาชิ้นใหม่ พบว่า หลายเมืองใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะเมืองหลวงของหลายประเทศ ต่างประสบกับสภาพอากาศร้อนรุนแรงมากกว่าแต่ก่อนต่อเนื่องหลายวัน ซึ่งรายงานระบุว่า แนวโน้มอันตรายจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นเกิดขึ้นทั่วเอเชีย ขณะที่ วิกฤตสภาพภูมิอากาศเลวร้ายลง

จากการวิเคราะห์ของสถาบันนานาชาติเพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา หรือไอไออีดี (IIED) ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (28 มิ.ย.) พบว่า เมืองที่มีประชากรมากที่สุด 20 แห่งทั่วโลก ซึ่งมีประชากรรวมกันมากกว่า 300 ล้านคน  มีวันที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 35 องศาเซลเซียส เพิ่มขึ้นร้อยละ 52 ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากมนุษย์เพิ่มสูงขึ้น เมืองหลวงใหญ่ ๆ หลายแห่ง มีวันที่ร้อนจัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์, เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน

ทูซเคอร์ แลนด์สแมน นักวิจัยอาวุโสของไอไออีดี ระบุในเอกสารข่าวฉบับหนึ่งว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน ไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามในอนาคตเท่านั้น แต่มันกำลังเกิดขึ้นแล้ว และเลวร้ายลงเรื่อย ๆ เพราะในช่วงเพียงคนรุ่นเดียวเท่านั้น จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัดในเมืองหลวงใหญ่ ๆ ของโลกเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยปรากฏการณ์นี้ยิ่งแย่ลงไปอีกจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเมืองใหญ่ต่าง ๆ แทนที่พื้นที่ธรรมชาติด้วยถนนและอาคาร ที่กักเก็บความร้อนได้มากขึ้น

หลายเมืองในเอเชีย ซึ่งมีประมาณครึ่งหนึ่งของเมืองหลวงที่มีประชากรมากที่สุดของโลก ทั้งกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซีย กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ประสบกับอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นมากที่สุด ซึ่งแนวโน้มดังกล่าว เห็นได้ชัดจากคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นทั่วทวีป ไล่ไปตั้งแต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปถึงจีนและอินเดีย โดยเอเชียมีความเสี่ยงต่อสภาพอากาศเป็นพิเศษ เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก, ความยากจน และสัดส่วนของประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่ม ซึ่งเสี่ยงต่อน้ำท่วม, ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ