"คนเจนซี"กลัวเตะฝุ่น!!! แต่ซีเรียสเรื่องบรรยากาศในองค์กร "โตมาแบบสบายเกิน"ต้นตอพฤติกรรมทำนายจ้างเอือม
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567 สื่อต่างประเทศเผยแพร่ผลสำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมของ “คนเจนซี (Gen Z)” หรือเจนแซด ที่ถูกมองว่าสุ่มเสี่ยงต่อการไม่ได้รับโอกาสในการเข้าทำงาน หรือทำงานแล้วแต่อยู่ในองค์กรได้ไม่นาน โดย นสพ. The Economic Times ของอินเดีย เสนอรายงานพิเศษ GenZ fears losing jobs but not ready to compromise on work-life balance and career growth: Survey เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2567 อ้างอิงผลสำรวจจาก Unstop ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างคนเจนซี 5,350 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคล 500 คน
ซึ่งพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนเจนซี ร้อยละ 51 หรือราวครึ่งหนึ่ง เน้นย้ำว่า พวกเขาเผชิญกับความกลัวการตกงานที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังขยายไปถึงโอกาสในการประกอบอาชีพด้วย โดยร้อยละ 40 แสดงความกังวลเกี่ยวกับการหางานในสาขาที่ต้องการเมื่อพวกเขาพร้อมที่จะเข้าสู่ตลาดงาน ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน เนื่องจากแม้จะมีความกลัวเหล่านี้ แต่คนเจนซีที่ได้รับการสำรวจก็ยังระบุความคาดหวังที่ชัดเจนและชัดเจนมากจากอาชีพการงานของพวกเขา
กลุ่มตัวอย่างประมาณร้อยละ 77 ให้ความสำคัญกับแบรนด์ของบริษัทมากกว่าเงินเดือนที่เสนอเพียงอย่างเดียว ขณะที่ร้อยละ 43 ระบุว่า ประสบการณ์จริงและโอกาสในการเติบโตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาเมื่อพวกเขาตัดสินใจที่จะเข้าร่วมบริษัท การเน้นย้ำถึงการพัฒนาตนเองนั้นชัดเจน โดยร้อยละ 72 บอกว่าพวกเขามองว่าความพึงพอใจในงานมีความสำคัญต่อตนเองมากกว่าเงินเดือน
อันคิท อัคการ์วาล (Ankit Aggarwal) ซีอีโอของ Unstop กล่าวว่า สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สุดในกลุ่มคนทำงาน งานไม่ใช่แค่สถานที่ที่ไปทำทุกวันเพื่อให้มีรายได้เข้าบัญชีเป็นประจำเท่านั้น แต่ต้องเหมาะสมกับแง่มุมสำคัญหลายๆ ประการในชีวิตอย่างลงตัว คนทำงานกลุ่มเจนซีกำลังก่อให้เกิดการปฏิวัติและผลักดันให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีจุดมุ่งหมายมากกว่าความซ้ำซากจำเจ พวกเขาเตือนเราว่างานควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ในทางกลับกัน
“รายงานของ Unstop นั้นครอบคลุมและให้รายละเอียดเกี่ยวกับความชอบในที่ทำงานของกลุ่มเจนซี เป็นการเรียกร้องให้นายจ้างและผู้รับสมัครดำเนินการ นายจ้างที่ปรับตัวให้เข้ากับความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหล่านี้จะได้รับความนิยมจากพนักงานรุ่นใหม่” อัคการ์วาล กล่าว
บริษัทต่างๆ ในปัจจุบันมีคนหลายช่วงวัยทำงานร่วมกัน เมื่อจำนวนคนเจนซีเพิ่มขึ้นในกำลังแรงงาน บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องปรับนโยบายให้สอดคล้องกับความคาดหวังและแก้ไขความคลาดเคลื่อนใดๆ ตัวอย่างเช่น รายงานเน้นว่า ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างคนเจนซี ร้อยละ 78 เปลี่ยนงานเพื่อให้เติบโตในอาชีพการงานได้ดีขึ้น แต่กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลร้อยละ 71 สันนิษฐานว่าเป็นเพราะได้รับค่าตอบแทนที่ดีขึ้น แม้ในความเป็นจริงจะพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนเจนซี มีเพียงราว 1 ใน 4 เท่านั้นที่มองว่าเงินเป็นแรงผลักดันหลักในการเปลี่ยนงาน
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับคนเจนซี คือความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน (Work-Life Balance) และสุขภาพจิต การที่องค์กรใช้นโยบายที่เหมาะสมอาจมีความสำคัญอย่างยิ่งในการค้นหาบุคลากรที่มีความสามารถ โดยผลสำรวจพบว่า ในขณะที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลอย่างน้อยร้อยละ 44 รู้สึกว่าคนเจนซี ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรมากกว่าความก้าวหน้าในอาชีพการงาน แต่ในความเป็นจริง กลุ่มตัวอย่างคนเจนซีได้กล่าวถึงเส้นทางอาชีพที่มั่นคงพร้อมช่องทางในการเลื่อนตำแหน่ง และวัฒนธรรมที่สนับสนุนมีความสำคัญต่อพวกเขา คนเจนซีกำลังมองหาความสมดุลของทั้งสองอย่าง และองค์กรจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องเหล่านี้แทนที่จะทำให้เป็นไปในทิศทางเดียว
ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2567 นสพ.New York Post สหรัฐอเมริกา เผยแพร่บทความ Gen Z ‘can’t cope with life’ or hold down a job — blame lazy Gen X parenting for their failures ระบุว่า คนเจนซี ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นคนธรรมดาๆ และพวกเขาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลายคนไม่สามารถรับมือกับชีวิตได้ คำพูดหรือความคิดใดๆ ที่พวกเขาไม่ชอบถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ คำวิจารณ์ถือเป็นการดูหมิ่น และพวกเขาไม่สามารถรักษางานไว้ได้ อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาทั้งหมด เพราะสาเหตุหลักๆ ก็คือวิธีการเลี้ยงดูและการศึกษาของพวกเขา
บทความอ้างผลการสำรวจของ Intelligent ในรายงานข่าว ‘Difficult’: Trend getting Gen Zers fired เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 ของสำนักข่าวออนไลน์ในออสเตรเลียอย่าง News.com.au ที่พบว่า บริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ พบว่า 3 ใน 4 ไม่พอใจพนักงานที่เป็นคนเจนซี และร้อยละ 60 มีแนวโน้มจะเลิกจ้างพนักงานใหม่ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เฉลี่ยระยะเวลา 1 ปี นับจากการเริ่มรับเข้ามาทำงาน โดยข้อตำหนิที่ใหญ่ที่สุดคือพนักงานรุ่นใหม่ไม่พร้อม ไม่เต็มใจที่จะทำงานเต็มวัน ต้องการเริ่มงานสาย และไม่สามารถสื่อสารได้อย่างเหมาะสม
บทความนี้ยังอ้างอิงบทสัมภาษณ์ แทมมี คริสโตฟิส บอลลิส (Tammie Christofis Ballis) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสัมภาษณ์และรับคนเข้าทำงานในออสเตรเลีย ในรายงานข่าว Aussie recruiter issues a blunt warning to job seekers ของสื่ออังกฤษอย่าง นสพ.Daily Mail ที่เปิดเผยว่า คนหนุ่ม-สาวมักประสบกับความวิตกกังวลในการสัมภาษณ์งาน รวมถึงกลัวที่จะหยิบโทรศัพท์ติดต่อนายจ้างที่อาจจะรับสมัครงาน ถึงขั้นพาพ่อแม่ผู้ปกครองไปด้วยเพื่อเป็นกำลังใจในการสัมภาษณ์งานกันเลยทีเดียว
แต่ปรากฏการณ์ที่เห็นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเองอย่างลอยๆ เพราะแม้เรื่องของสุขภาพจิตจะถูกให้ความสำคัญมากขึ้นกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจนประสบการณ์ที่ไม่สบายใจทุกประเภทกลายเป็นปัญหาสำคัญไปเสียทั้งหมด เด็กๆ ไม่ได้รับการสอนให้มีความยืดหยุ่นอีกต่อไป และไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีอันตรายใดๆ ในชีวิต อุปกรณ์เพื่อความบันเทิงทั้งหมดถูกรื้อออกจากสนามเด็กเล่นเพราะกลัวว่าเด็กอาจได้รับบาดเจ็บหรือแขนหัก
“เด็กๆ ไม่ได้รับความไว้วางใจให้ขี่จักรยานออกไปกับเพื่อนๆ ในตอนเช้า และกลับมาเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พวกเขาต้องอยู่ในสายตาตลอดเวลา และเมื่อพวกเขาอยู่นอกสายตา พวกเขามักจะถูกติดตามผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์เหล่านี้กลายเป็นพิษ ทำให้เด็กๆ ตกเป็นทาสของโลกดิจิทัลแทนที่จะเป็นโลกจริง เป็นเรื่องน่าแปลกหรือไม่ที่พวกเขาไม่สามารถสื่อสารได้อย่างเหมาะสม เมื่อการโต้ตอบส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่ใช่การพูดหรือการเผชิญหน้ากันอีกต่อไป” รายงานของสื่อสหรัฐฯ ระบุ
บทความของ New York Post กล่าวต่อไปว่า แนวคิดเรื่องชัยชนะและความพ่ายแพ้ถูกละทิ้งไปเพื่อให้ทุกคนได้รับเหรียญรางวัลจากการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชน ไม่มีการเก็บคะแนนหรือจัดอันดับอีกต่อไป ไม่มีรอบชิงชนะเลิศ มีเพียงความสนุกจากการเข้าร่วมเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง ในทุกแง่มุมของชีวิตต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้ เส้นทางชีวิตมีทั้งช่วงเวลาที่สำเร็จและล้มเหลว แต่หากไม่เรียนรู้ที่จะจัดการกับสิ่งนั้นตั้งแต่อายุยังน้อย แน่นอนว่ามันจะดูเหมือนจุดจบของโลกเมื่อคนคนนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่
คาเล็บ บอนด์ (Caleb Bond) ผู้สื่อข่าวของ News.com.au ซึ่งเป็นผู้เขียนบทความนี้ ยังทิ้งท้ายด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันเป็นผลพวงมาจากการได้รับการเลี้ยงดูแบบลูบหลังมาตลอดวัยเด็ก พวกเขาถูกบอกว่าทำได้ดีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ใช้ชีวิตด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้องนอนจ้องหน้าจอ และตอนนี้ความคิดที่จะสมัครงานหรือรักษางานไว้ก็ดูจะเป็นไปไม่ได้
ทั้งนี้ ข้อมูลจากบทความ “ก้าวข้ามความต่าง Generation เพื่อทำงานร่วมกัน” โดยกรมการจัดหางานของประเทศไทย ได้แบ่งคนตามช่วงวัยไว้ดังนี้ 1.เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) หมายถึงคนที่เกิดช่วงปี 2489-2507 2.เจนเอ็กซ์ (Gen X) หมายถึงคนที่เกิดช่วงปี 2508-2519 3.เจนวาย (Gen Y) หรือบ้างก็เรียกว่า มิลเล็นเนียล (Millennial) หมายถึงคนที่เกิดช่วงปี 2520-2537 4.เจนซี (Gen Z) หรือเจนแซด หมายถึงคนที่เกิดช่วงปี 2538-2552 และ 5.เจนอังฟา (Gen Alpha) หมายถึงคนที่เกิดช่วงปี 2553-2567
ขอบคุณเรื่องจาก
- https://nypost.com/2024/10/03/lifestyle/gen-z-cant-cope-with-life-blame-lazy-gen-x-parenting/
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี