เบรุต/เทลอาวีฟ (เอพี/รอยเตอร์/อัลจาซีรา) - อิสราเอลยังเดินหน้าโจมตีทางอากาศถล่มภาคใต้ของเลบานอน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มขึ้น ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ พบหารือบรรดาผู้นำอิสราเอลเพื่อกดดันให้เพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซ่าและเร่งช่วยเหลือตัวประกัน

กองทัพอิสราเอล แถลงว่า เครื่องบินรบของกองทัพโจมตีเป้าหมายแห่งหนึ่งของฮิซบอลเลาะห์ใกล้โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ราฟิก ฮาริรี ในกรุงเบรุตในช่วงดึกวันจันทร์ถึงเช้ามืดวันอังคาร มีผู้เสียชีวิต 15 ราย บาดเจ็บกว่า 60 คน แต่ย้ำว่า ไม่ได้โจมตีเป้าหมายโรงพยาบาล และโรงพยาบาลก็ไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีครั้งนี้ แต่ต้องการทำลายบังเกอร์และหลุมหลบภัยใต้ดิน ที่เชื่อว่าซุกซ่อนเงินและทองคำมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ และน่าจะนำไปใช้เพื่อโจมตีอิสราเอล ขณะเดียวกัน โฆษกกองทัพอิสราเอลแถลงยืนยันการสังหาร ฮาเชม ซาฟิดดิน ผู้ที่ได้รับการคาดหมายว่า จะได้ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ แทน ฮัสซัน นาสรัลเลาะห์  ที่เสียชีวิตในเหตุโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ในในเขตชานเมืองทางใต้กรุงเบรุต ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา และระบุเพิ่มเติมด้วยว่าซาฟิดดินเป็นญาติของนาสรัลเลาะห์

ด้าน ฮัจ โมฮัมหมัด อาฟิฟ หัวหน้าฝ่ายสื่อมวลชนของฮิซบอลเลาะห์ แถลงปฏิเสธไม่เจรจาหยุดยิงกับอิสราเอลในขณะที่ยังรบกันอยู่ และยังปฏิเสธว่า ธนาคาร อัล-คาร์ด อัล-ฮัสซัน ของทางกลุ่ม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนทางการเงินในการจ่ายเงินเดือนนักรบฮิซบอลเลาะห์ หรือใช้ซื้ออาวุธ หลังอิสราเอลโจมตีสาขาธนาคารแห่งนี้ 30 แห่งเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 ต.ค.) หรือเกือบทั้งหมดของสาขาธนาคารดังกล่าวซึ่งมีกว่า 30 แห่งทั่วเลบานอน นอกจากนี้ ฮิซบอลเลาะห์ยังอ้างว่าส่งโดรนอากาศยานไร้คนขับ 1 ลำ โจมตีบ้านพักวันหยุดของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลเมื่อวันเสาร์ (19 ต.ค.) แต่เนทันยาฮูไม่ได้อยู่ในบ้าน และเขากล่าวหาการโจมตีดังกล่าวเป็นความพยายามลอบสังหารเขา

ขณะเดียวกัน นัสเซอร์ ยาสซิน รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบต่อวิกฤตในเลบานอน แถลงก่อนการประชุมในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในวันนี้ ( 24.ต.ค.) เพื่อระดมทุนสนับสนุนเลบานอนว่า เลบานอนจะต้องใช้เงินจำนวน 250 ล้านดอลลาร์ (กว่า 8,300 ล้านบาท) ต่อเดือนเพื่อช่วยเหลือผู้ไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 1 ล้านคนจากการโจมตีของอิสราเอล และว่าในปัจจุบัน การตอบสนองของรัฐบาล ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากโครงการในพื้นที่และความช่วยเหลือระหว่างประเทศ ครอบคลุมเพียงร้อยละ 20 ของความต้องการของประชาชนราว 1.3 ล้านคนที่ต้องอพยพจากบ้านเรือน และต้องพักพิงอยู่ในอาคารสาธารณะหรืออยู่กับญาติพี่น้องเท่านั้น ความต้องการเหล่านี้น่าจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการโจมตีทางอากาศรายวันทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตน และทำให้รัฐบาลเลบานอนต้องดิ้นรนในการหาวิธีเพื่อช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัยแก่พวกเขา