20 พ.ย. 2567 สถานีโทรทัศน์ KTLA5 สื่อท้องถิ่นในเมืองลอส แองเจลิส (แอลเอ) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา รายงานข่าว L.A. to become a ‘sanctuary’ city for migrants in response to Trump threat ระบุว่า ในการประชุมสภาเทศบาลนครแอลเอ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2567 ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ 13 ต่อ 0 ประกาศในเมืองแห่งนี้เป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับผู้อพยพ ซึ่งเป็นท่าทีแข็งกร้าวต่อ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ประกาศนโยบายพร้อมใช้กำลังทหารขับไล่บุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายออกจากแผ่นดินสหรัฐฯ
สาระสำคัญของมติล่าสุดของสภาเทศบาลนครลอส แองเจลิส คือการประกาศไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในด้านทรัพยากรและบุคลากรของเมือง ในการสนับสนุนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นการยกระดับจากมติก่อนหน้านี้ ที่ประกาศว่า เมืองแอลเอจะไม่แบ่งปันข้อมูลไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของรัฐบาลกลาง
นิตยา รามัน (Nithya Raman) หญิงชาวอินเดีย ซึ่งติดตามครอบครัวเดินทางมาที่สหรัฐฯ ตั้งแต่อายุเพียง 6 ปี กล่าวว่า ผู้อพยพเป็นส่วนสำคัญของแอลเอ และพวกเขาสมควรที่จะรู้สึกปลอดภัยและได้รับการปกป้องในเมืองที่พวกเขาเรียกว่าบ้าน ไม่ว่าใครจะมีอำนาจก็ตาม เช่นเดียวกับ ยูนิสเซส เฮอร์นันเดซ (Eunisses Hernandez) สมาชิกสภาเทศบาลนครลอส แองเจลิส ที่กล่าวว่า ที่ตนมีชีวิตเติบโตขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะผู้อพยพ เช่น พ่อแม่และญาติพีน้องของตน และชุมชนที่เลี้ยงดูตนมา
“เรื่องเดียวกันนี้ยังเกิดขึ้นกับลอส แองเจลิส เมืองที่สร้างขึ้นจากความฝันและแรงงานของผู้อพยพหลายชั่วอายุคน เราจะไม่ยอมให้วาทกรรมที่แสดงความเกลียดชังหรือนโยบายที่ทำลายล้างมาทำลายครอบครัวหรือทำให้ผลงานของพวกเขาเสื่อมเสีย วันนี้ เราประกาศต่อประเทศชาติว่าลอสแองเจลิสเจริญรุ่งเรืองได้เพราะผู้อพยพ และเราดีขึ้นเพราะผลงานและผลงานของพวกเขา” เฮอร์นันเดซ กล่าว
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า แอลเอเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ เป็นแหล่งรวมของผู้อพยพมากกว่า 1.35 ล้านคน คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 34 ของประชากรผู้อพยพทั้งประเทศ ขณะที่ ร็อกแซน ฮ็อดจ์ (Roxanne Hodge) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของพรรครีพับลิกันประจำลอสแองเจลิสเคาน์ตี ตอบโต้ท่าทีของสภาเทศบาลนครแอลเอ ว่า เมืองและรัฐที่เรียกว่าสถานที่หลบภัย ฟังดูอบอุ่นและคลุมเครือ
“การคุ้มครองที่พวกเขาให้นั้นไม่ได้มีไว้สำหรับคุณย่า-คุณยายที่ซื้อไอศกรีมเท่านั้น แต่มีไว้สำหรับผู้คนที่เข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมายและก่ออาชญากรรมเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการเมาแล้วขับ การปล้น การล่วงละเมิดทางเพศ การทำร้ายร่างกาย หรือการฆาตกรรม สิ่งเหล่านี้ไม่ควรลอยนวลพ้นโทษ ผู้กระทำความผิดไม่ควรได้รับการปกป้องจากเงินช่วยเหลือที่ผู้เสียภาษีผู้ทำงานหนักได้รับอย่างแน่นอน” ฮ็อดจ์ กล่าว
1 วันก่อนหน้าการลงมติของสภาเมือง ในวันที่ 18 พ.ย. 2567 คณะกรรมการการศึกษาเขตโรงเรียนรวมลอสแองเจลิส (LAUSD) ยังลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์เมื่อวันจันทร์เพื่อรับรองมติเมืองที่ปลอดภัย ซึ่งมติดังกล่าวเรียกร้องให้ครูและเจ้าหน้าที่ของ LAUSD เข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการตอบสนองหากถูกติดต่อโดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของรัฐบาลกลาง
ซึ่งในวันดังกล่าว เป็นวันเดียวกับที่ทรัมป์ประกาศผ่านช่องทางออนไลน์ ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีตนเป็นผู้นำจะประกาศให้การอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ และใช้ทรัพยากรทางทหารเพื่อเนรเทศผู้ที่อยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมาย และช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ทรัมป์ยังอ้าง “กฎหมายว่าด้วยบุคคลต่างด้าวที่เป็นศัตรู (Alien Enemies Act)” ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 (ปี 2243-2342) ซึ่งให้อำนาจต่อรัฐในการกักขังและขับไล่ชาวต่างชาติที่มีอายุมากกว่า 14 ปีซึ่งมาจากประเทศที่ทำสงครามกับสหรัฐฯ ออกไปจากแผ่นดินสหรัฐฯ ได้
ขอบคุณเรื่องและภาพจาก
https://ktla.com/news/local-news/l-a-to-become-a-sanctuary-city-for-migrants-in-response-to-trump-threat/
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี