เริ่มยิงแล้ว : ภาพจากแฟ้มของขีปนาวุธพิสัยไกลแบบ ATACMS ที่ยูเครนได้รับมอบจากสหรัฐฯ ล่าสุด ยูเครนได้ยิงขีปนาวุธดังกล่าวโจมตีเข้าไปในดินแดนรัสเซียเป็นครั้งแรกแล้ว หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ไฟเขียวให้ยูเครนใช้งานขีปนาวุธดังกล่าวได้ ในวันที่สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนดำเนินมาครบ 1,000 วัน
เคียฟ/มอสโก/วอชิงตัน (เอพี/รอยเตอร์ส/บีบีซี นิวส์) - มีการยืนยันแล้วว่า ยูเครนได้ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลแบบ ATACMS ที่ได้รับมอบจากสหรัฐฯ ยิงโจมตีรัสเซียเป็นครั้งแรกแล้ว แต่ยังมีรายงานที่ขัดแย้งกันว่ายิงกี่ลูกและเข้าเป้าหรือไม่ เผยสหรัฐฯ ยังเตรียมจัดหาทุ่นระเบิดบกสังหารบุคคล (anti-personnel land mines) ให้แก่ยูเครนเพิ่มเติมด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้รัสเซียรุกคืบหน้ามาทางด้านตะวันออกของยูเครนได้ช้าลง
ภายหลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่กำลังจะพ้นตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมกราคมปีหน้า ได้เปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญยอมให้ใช้อาวุธหนักอย่างขีปนาวุธพิสัยไกลแบบ ATACMS (อะแทคคัมส์) ยิงโจมตีในดินแดนรัสเซียได้ ล่าสุด กระทรวงกลาโหมของรัสเซียเปิดเผยว่า ยูเครนได้ใช้ขีปนาวุธนี้ยิงเข้าในดินแดนรัสเซียเป็นครั้งแรกเมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ 19 พ.ย. ที่แคว้นเบรียนส์ ซึ่ง
อยู่ติดกับตอนเหนือของยูเครน โดยยิงเข้าไป 6 ลูก แต่ระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียสามารถยิงสกัดได้ 5 ลูก มีลูกเดียวที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ที่คลังแสงแห่งหนึ่งด้านแหล่งข่าวความมั่นคงสหรัฐฯ ให้ข่าวโต้แย้งว่า ยูเครนยิงขีปนาวุธรุ่นนี้ซึ่งมีความเร็วสูงและสกัดได้ยากทั้งหมด 8 ลูก แล้ว และถูกรัสเซียยิงสกัดได้เพียง 2 ลูกเท่านั้น
จากนั้นไม่นาน เซอร์เก ราฟลอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางเยือนบราซิลอยู่ ได้ออกมาประณามสหรัฐฯ ว่า การยิงขีปนาวุธที่ล้ำสมัยเช่นนี้จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญอเมริกัน ลำพังยูเครนจะยิงเองไม่ได้ จึงเห็นได้ชัดว่า สหรัฐฯมีส่วนร่วมโดยตรงและต้องการขยายความขัดแย้ง
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้ความเห็นชอบในการจัดหาทุ่นระเบิดบกสังหารบุคคล (anti-personnel land mines) ให้แก่ยูเครน โดยคาดหวังว่า ยูเครนจะใช้ทุ่นระเบิดที่สหรัฐฯ จัดส่งให้นี้ในดินแดนของตนเอง โดยยูเครนให้คำมั่นว่าจะไม่ใช้ทุ่นระเบิดเหล่านี้ในพื้นที่ที่มีคนชาวยูเครนอยู่อย่างหนาแน่น
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ จัดหาทุ่นระเบิดต่อต้านรถถังให้กับยูเครนตั้งแต่รัสเซียเริ่มรุกรานยูเครน แต่การเพิ่มทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้ทหารราบของรัสเซียเปิดฉากรุกเข้ามาในพื้นที่ยูเครนได้ช้าลงสำหรับทุ่นระเบิดของสหรัฐฯ มีความแตกต่างจากของรัสเซียคือทุ่นระเบิดของสหรัฐฯ จะเป็นชนิดที่ใช้งานได้ไม่นาน กล่าวคือ จะหมดสภาพการใช้งานตามระยะที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ต้องใช้แบตเตอรี่ในการจุดระเบิดและจะไม่ระเบิดหากแบตเตอรี่หมด
ขณะเดียวกัน รัสเซียยังได้ขยายขอบเขตของขอบเขตการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นการกำหนดหลักนิยมว่า สถานการณ์ใดที่สามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ โดยให้รวมการคุกคามของรัฐที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ได้รับความสนับสนุนจากชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ไว้ด้วย นั่นเท่ากับว่า แม้ยูเครนไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่เมื่อมหาอำนาจตะวันตกที่มีอาวุธนิวเคลียร์สนับสนุนให้ไปโจมตีรัสเซีย รัสเซียก็จะถือว่าเป็นการโจมตีโดยตรงที่เข้าหลักเกณฑ์สามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้
ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูตินผู้นำรัสเซีย ต้องการให้ดำเนินการดังกล่าวมานานแล้ว และยังได้สั่งการให้พัฒนาอาวุธและกองกำลังนิวเคลียร์ของรัสเซีย เพื่อเป็นหลักประกันด้านความปลอดภัยและความมั่นคง ขณะที่บรรดาชาติตะวันตกได้ประณามผู้นำรัสเซียว่า ใช้วาทกรรมข่มขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์อย่างไร้ความรับผิดชอบ เช่น นายกรัฐมนตรี เคียร์ สตามเมอร์ ของอังกฤษ กล่าวว่า วาทกรรมข่มขู่ของปูตินจะไม่มีทางยับยั้งจุดยืนที่เข้มแข็งของชาติต่างๆ ในการช่วยเหลือยูเครนต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ไฟเขียวอนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธยิงโจมตีได้เมื่อวันที่สงครามครบรอบ 1,000 วัน ในขณะที่รัสเซียกล่าวเตือนชาติตะวันตกมานานหลายเดือนแล้วว่าหากสหรัฐฯ อนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธของสหรัฐฯ อังกฤษและฝรั่งเศส ยิงเข้าไปโจมตีลึกเข้าไปในรัสเซียแล้ว รัสเซียจะถือว่า สมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือ นาโต เหล่านี้ เข้ามาเกี่ยวข้องในสงครามในยูเครนโดยตรง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี