2 ธ.ค. 2567 นสพ.The Straits Times ของสิงคโปร์ เสนอรายงานพิเศษ Cattle smuggling in Mekong region threatens bovine and human health ระบุว่า การลักลอบนำพาโคข้ามแดนระหว่างประเทศในกลุ่มลุ่มน้ำโขง อันประกอบด้วย จีน ไทย ลาว กัมพูชา เมียนมาและเวียดนาม กำลังสร้างปัญหาด้านสุขภาพทั้งกับโคและมนุษย์ เนื่องจากพบโรคที่เคยควบคุมได้เมื่อหลายปีก่อนกลับมาระบาดอีกครั้ง
อาทิ โรคแอนแทรกซ์ ซึ่งพบผู้ติดเชื้อในลาว ช่วงเดือน เม.ย. 2567 มีรายงานผู้ป่วย 121 ราย ในพื้นที่ชนบททางใต้ของประเทศ จากการบริโภค “ลาบงัวดิบ (Larb Ngua Dip)” อาหารท้องถิ่นที่ทำจากเนื้อวัวดิบชุบเลือด มะนาว พริก และสมุนไพรสด ทั้งที่ก่อนหน้านี้โรคดังกล่าวถูกควบคุมมาได้นานถึง 2 ทศวรรษ จากการฉีดวัคซีนให้กับโค นอกจากนั้นยังตรวจพบโรคลัมปิสกิน (Lumpy Skin) หรือโรคผิวหนังเป็นก้อนในโคราว 1.3 ล้านตัว ของไทย ลาว กัมพูชา เมียนมาและเวียดนาม ทั้งที่ก่อนเดือน ต.ค. 2563 ไม่เคยพบโรคนี้
การระบาดอาจเกิดขึ้นอีกเนื่องจากการลักลอบนำพาโคข้ามแดนดูเหมือนจะขยายตัวในภูมิภาค แม้ว่าการปฏิบัตินี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพบว่าขบวนการสามารถทำกำไรได้มากขึ้น เนื่องมาจากรัฐบาลในภูมิภาคต่างๆ ได้เข้มงวดเรื่องการข้ามพรมแดน ในช่วงที่มนุษย์ของเผชิญกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงเพื่อปกป้องปศุสัตว์ในท้องถิ่นจากโรคระบาดในสัตว์
โคส่วนใหญ่จะถูกส่งไปที่จีนและเวียดนาม โดยชาวจีนเป็นผู้บริโภคเนื้อโครายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกตามปริมาณรวม รองจากชาวอเมริกัน โดยบริโภค 10.6 ล้านตันในปี 2566 ในขณะที่ชาวเวียดนามบริโภคเนื้อวัวน้อยกว่าร้อยละ 10 ของเนื้อวัวทั้งหมดของจีน แต่บริโภคประมาณ 8.5 กิโลกรัมต่อคนในปี 2565 ซึ่งมากกว่าชาวจีนถึงสองเท่า แม้การบริโภคจะเพิ่มขึ้น แต่การเลี้ยงโคในเวียดนามก็ตอบสนองความต้องการได้เพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ในขณะที่อุตสาหกรรมเนื้อโคของจีนหยุดชะงักเนื่องจากการขยายตัวของเมือง การขาดแคลนอาหารสัตว์ และต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น
ขบวนการลักลอบลำเลียงโคข้ามแดนเลี่ยงข้อกำหนดราคาแพงสำหรับการฉีดวัคซีนและการกักกันโรค ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 30 วันที่ชายแดนไทย-เมียนมา และนานถึง 82 วันเมื่อชายแดนเมียนมาหรือลาวและจีน ในช่วงเวลานี้ พ่อค้าจะต้องจ่ายเงินค่าดูแลโค ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่าย 2 เหรียญสหรัฐ (2.70 เหรียญสิงคโปร์ หรือราว 70 บาท) ถึง 3 เหรียญสหรัฐ (หรือราว 105 บาท) ต่อวันต่อโค 1 ตัว เพื่อรักษาน้ำหนักตัวไว้ก่อนที่โคจะเข้าสู่ตลาดจีนได้
ชัย (Chai) ชาวลาวผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงโค ยอมรับว่า กระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดทำให้ไม่สามารถเข้าถึงตลาดของจีนได้ โดยสามารถจัดหาวัวได้เฉพาะผ่านพ่อค้าคนกลางชาวจีนเท่านั้นที่ลักลอบนำสัตว์เหล่านี้ข้ามพรมแดน ขณะที่ในเมียนมา ตั้งแต่กองทัพทำรัฐประหารในปี 2564 ตามด้วยสถานการณ์สงครามกลางเมืองที่รุนแรง ทำให้พ่อค้าต้องพึ่งพาเครือข่ายการลักลอบลำเลียงเพื่อให้โคของตนสามารถผ่านแดนได้อย่างปลอดภัย แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ทรัพยากรสำหรับการควบคุมโรคมีจำกัด จึงมีความเสี่ยงที่โคลักลอบเหล่านี้จะแพร่โรคให้กับปศุสัตว์ในท้องถิ่น
ความจริงที่ว่าวัวลักลอบนำโรคไปมักจะผสมกับฝูงสัตว์ในท้องถิ่นเพื่อปกปิดแหล่งที่มาและใช้เวลาช่วงหนึ่งในแหล่งเลี้ยงวัวก็เพิ่มความเสี่ยงนี้เช่นกัน โดยพ่อค้าโคชาวจีนรายหนึ่งที่ตลาดมังชิ (Mangshi) ซึ่งเป็นตลาดปศุสัตว์หลักในมณฑลยูนนานของจีนใกล้กับชายแดนจีน-เมียนมา ยอมรับว่า ตนไม่ถามแหล่งที่มาของโค และไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับโรคนี้ เพราะหากโคป่วยก็จะเดินทางได้ไม่ไกลนัก
ผศ.ดร.น.สพ.เทิดศักดิ์ ญาโน (Therdsak Yano) อาจารย์คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประเทศไทย กล่าวว่า โคอาจแสดงอาการของโรคได้เฉพาะระหว่างการขนส่งเท่านั้น ซึ่งเมื่อโคเครียด อ่อนเพลีย และหิว ภูมิคุ้มกันจะลดลง มีอาการต่างๆ เกิดขึ้น และพวกมันสามารถแพร่เชื้อไวรัสไประหว่างทางได้ ทั้งนี้ องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (WOAH) รายงานว่า ในปี 2564 มีโคอย่างน้อย 900,000 ตัวในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงติดเชื้อในช่วงที่โรคผิวหนังเป็นก้อน หรือลัมปสกิน ระบาดครั้งแรก
การวิเคราะห์สายพันธุ์ของไวรัสบ่งชี้ว่าการระบาดมีความเชื่อมโยงอย่างมากกับการเคลื่อนย้ายสัตว์อย่างผิดกฎหมาย การระบาดของโรคอาจทำให้ฟาร์มเสียหายอย่างร้ายแรงและคุกคามความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งโคที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจแพร่โรคที่ติดต่อสู่มนุษย์ได้ ตัวอย่างเช่น เมียนมาพบผู้ป่วยโรคบรูเซลโลซิส (Brucellosis) ซึ่งเป็นโรคแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่อย่างน้อย 116 ราย
การลักลอบขนโคข้ามพรมแดน ซึ่งกระทำผ่านเครือข่ายเกษตรกร นายหน้า และผู้ค้าจำนวนมาก ได้รับการอำนวยความสะดวกโดยเจ้าหน้าที่ตรวจตราชายแดนหน่วยงานท้องถิ่นที่ทุจริต พ่อค้าประเมินว่าวัวหลายพันตัวข้ามพรมแดนที่มีรูพรุนของภูมิภาคแม่น้ำโขงทุกวัน แต่มีการตรวจพบเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเนื่องจากความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายในท้องถิ่นมีจำกัด ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยยึดวัวได้ 1,182 ตัวใน 23 เหตุการณ์ระหว่างปี 2565 ถึงครึ่งแรกของปี 2567
ทางด้านชายแดนเมียนมา-จีน นายหน้าจะเป็นผู้ถ่ายคลิปวีดีโอโคที่ยังมีชีวิตส่งไปให้พ่อค้าชาวจีนโดยใช้แอปพลิเคชั่นส่งข้อความ WeChat จากนั้นจึงจัดการให้ผู้ขนส่งนำโคเดินข้ามภูมิประเทศชายแดนที่ขรุขระเป็นเวลา 2 วัน สงครามกลางเมืองในเมียนมาที่ยังคงดำเนินอยู่ทำให้การขนย้ายโคมีความเสี่ยงและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เนื่องจากทั้งกองทัพรัฐบาลทหารเมียนมาและกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ ต่างเรียกเก็บค่าผ่านทางที่จุดตรวจเพื่อรับประกันการขนส่งโคไปยังชายแดนอย่างปลอดภัย
นายหน้าจากเขตมาเกวของเมียนมา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเลี้ยงโคที่สำคัญ อธิบายโดยไม่เปิดเผยชื่อว่าตนต้องจ่ายเงินให้กับกลุ่มติดอาวุธอย่างน้อย 3 กลุ่มเพื่อนำวัวไปยังชายแดนจีนหรือไทย เขาจ่ายเงินมากถึง 1,400 เหรียญสหรัฐ (ราว 49,000 บาท) ที่จุดตรวจแต่ละจุดเพื่อขนย้ายวัวจำนวน 100 -150 ตัว แต่ถึงจะต้องจ่ายค่าผ่านทางรวมถึงส่วยต่างๆ กับเจ้าหน้าที่ ขบวนการลักลอบขนย้ายโคข้ามประเทศก็ยังมีกำไรอย่างคุ้มค่า
ผศ.ดร.มาโนช โพธาภรณ์ (Manoj Potapohn) อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า นายหน้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่การลักลอบขนโคได้เงินประมาณครึ่งหนึ่งของราคาโคที่ขายที่ชายแดนจีน ซึ่งอาจขายได้หัวละประมาณ 1,100 เหรียญสหรัฐ หรือราว 38,500 บาท ทั้งนี้ การลักลอบขนโคข้ามชายแดนไทย-เมียนมา ที่มีความยาว 2,416 กิโลเมตร มักเกิดขึ้นในเวลากลางคืนผ่านช่องทางธรรมชาติและพื้นที่ที่ไม่มีการตรวจตราชายแดน จังหวัดที่เป็นจุดเสี่ยง ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพรและระนอง
จากข้อมูลของพ่อค้า 3 รายซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ พบว่ามีการลักลอบขนโคราว 10-20 ตัวทุกคืนในช่วงฤดูแล้ง ณ สถานที่แห่งเดียวใน จ.ตาก เพื่อลดการสูญเสียในกรณีที่เกิดการตรวจยึด พ่อค้าจะขนโคเป็นฝูงเล็กๆ เพื่อให้ขนได้ง่ายขึ้นด้วยรถบรรทุกขนาดเล็ก เมื่อข้ามชายแดนเข้าสู่ประเทศไทย โคที่ลักลอบจะถูกนำไปอยู่ปะปนกับฝูงโควในท้องถิ่นในกระบวนการที่เรียกว่า “การฟอกโค” นายหน้าจะนำโคไปมอบให้เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ โดยอ้างว่าเป็นสัตว์ถูกกฎหมายแต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนให้ทันเวลา หากไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เจ้าหน้าที่จะขึ้นทะเบียนและออกใบรับรองให้
เมื่อวัวได้รับการรับรองตามกฎหมายแล้ว วัวจะได้รับวัคซีนและได้รับอนุญาตให้ขนส่ง เมื่อย้ายไปยังจังหวัดที่อยู่นอกพรมแดนแล้ว วัวจะได้รับแท็กหูที่ออกโดยกรมปศุสัตว์ และสามารถเคลื่อนย้ายไปยังที่ใดก็ได้ ซึ่ง Srinuan Sunthorn เกษตรกรชาวไทยผู้เลี้ยงโค ในพื้นที่ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การตรวจสอบว่าโคตัวใดลักลอบนำเข้าจากเมียนมานั้นทำได้ง่าย เพราะพวกมันจะมีขนาดเล็กและผอมกว่าโคที่เลี้ยงในท้องถิ่น และขายในราคาที่ถูกกว่ามาก
ในเวียดนาม ผู้ลักลอบขนโคจ่ายเงินให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชายแดนเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าของโคจากลาวอย่างถูกกฎหมาย และติดสินบนกำนันและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อขอเอกสารที่จำเป็น จากนั้นวัวจะถูกส่งไปที่ตลาดมืดเพื่อขายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ หรือเดินทางข้ามชายแดนจีนซึ่งต้องผ่านความยากลำบาก โดยกลุ่มหลังจะถูกบรรทุกขึ้นรถบรรทุกขนาดเล็ก ที่ตลาด Tra Linh ริมชายแดนจีน ซึ่งรู้จักกันว่าเป็นจุดพักสุดท้ายแห่งหนึ่ง โคจะถูกคัดแยกอีกครั้ง โดยตัวที่แข็งแรงจะถูกลักลอบนำเข้าข้ามชายแดนจีน-เวียดนาม ส่วนที่อ่อนแอจะถูกขายในประเทศ
การเดินทางทั้งหมดซึ่งวัวอาศัยอยู่ในรถบรรทุกและเดินเป็นระยะทางไกลนั้นอาจใช้เวลาเพียง 3-4 วัน ซึ่ง Phung The Hai ผู้อำนวยการศูนย์เพาะพันธุ์ปศุสัตว์แห่งชาติเวียดนาม ระบุว่า เมื่อวัวจากต่างประเทศถูกเคลื่อนย้ายมาถึง พ่อค้าหลายคนก็ต้อนวัวในท้องถิ่นของเวียดนามเข้ามาทันที และการเคลื่อนย้ายโคจากภูมิภาคหนึ่งไปยังอีกภูมิภาคหนึ่งก็ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค
ด้วยความตระหนักถึงช่องโหว่เหล่านี้ ทางการในภูมิภาคจึงกำลังทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดของโรคครั้งใหญ่ครั้งต่อไป โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เปิดตัวโครงการมูลค่า 270 ล้านเหรียญสหรัฐ (เกือบ 9.5 พันล้านบาท) ในปี 2565 เพื่อปรับปรุงห่วงโซ่มูลค่าปศุสัตว์ในกัมพูชา ลาวและเมียนมา ซึ่งเป็น 3 ประเทศในภูมิภาคที่มีจุดอ่อนที่สุดในด้านการควบคุมโรคสัตว์ข้ามพรมแดน เพื่อช่วยให้เกษตรกรรายย่อยปรับปรุงสุขภาพปศุสัตว์ให้ดีขึ้น
โครงการนี้จะนำไปสู่การจัดตั้งเขตควบคุมโรคในบางจังหวัด โดยแต่ละจังหวัดจะมีรัศมี 100 กิโลเมตร และตั้งศูนย์เพาะพันธุ์วัวแห่งแรกในกัมพูชาและลาว รวมถึงตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนสำหรับสัตวแพทย์แห่งแรกในกัมพูชา ซึ่ง ศรีนิวสันต์ อัญชา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ ADB กล่าวว่า โครงการนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2574 และ ADB อาจขยายต่อหากประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม บางประเทศลังเลที่จะยอมรับว่ามีปัญหาโรคระบาดในปศุสัตว์ เพราะความกังวลด้านการค้า
โครงการของ ADB ดำเนินไปควบคู่กับความพยายามจากพื้นฐาน เช่น แอปพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือที่เปิดตัวใน จ.เชียงใหม่ ประเทศไทย ในปี 2557 เพื่อช่วยให้สมาชิกในชุมชนรายงานเหตุการณ์โรคผิดปกติในพื้นที่ของตน เรียกว่า แอปพลิเคชั่น Participatory One Health Digital Disease Detection (PODD หรือศูนย์สุขภาพหนึ่งเดียว) ซึ่งสร้างขึ้นโดยเครือข่ายสัตวแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ เกษตรกร และชุมชนท้องถิ่น
แอปพลิเคชั่นนี้ได้รับการทดสอบและพัฒนาโดยร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 400 แห่งและเกษตรกร 19,000 รายในประเทศไทย และจนถึงปัจจุบันก็สามารถตรวจพบและควบคุมโรคปากและเท้าเปื่อยได้สำเร็จ ก่อนที่โรคจะแพร่กระจายถึง 5 ครั้ง ซึ่งช่วยป้องกันการสูญเสียได้ประมาณ 5 ล้านบาท (195,000 เหรียญสิงคโปร์) อนึ่ง แอปฯ นี้ยังขยายการให้บริการไปถึง สปป.ลาว ในพื้นที่คำม่วน สะหวันนะเขต จำปาสัก บอลิคำไซ และกรุงเวียงจันทน์ และในอนาคตจะรวมถึงกัมพูชาและเมียนมา หากสถานการณ์เอื้ออำนวย
รายงานข่าวปิดท้ายด้วยความเห็นของ ผศ.ดร.มาโนช ที่กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ไม่สามารถทำการค้าขายโดยเน้นการขายโคในราคาต่ำที่สุดได้อีกต่อไป หากต้องการเป็นครัวของโลกก็จำเป็นต้องเน้นย้ำถึงแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของอาหาร รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ถูกสุขอนามัยและปราศจากโรค
ขอบคุณเรื่องและภาพจาก
https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/cattle-smuggling-in-mekong-region-threatens-bovine-and-human-health
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี