14 ม.ค. 2568 สถานีโทรทัศน์ Fox 5 New York ในเครือ Fox News สหรัฐอเมริกา รายงานข่าว Starbucks’ new policy: Buy something or get out ระบุว่า สตาร์บัคส์ ร้านกาแฟเจ้าดังระดับโลก ประกาศเปลี่ยนนโยบาย โดยกำหนดให้ผู้ที่ต้องการใช้ห้องน้ำหรือเข้ามานั่งอยู่ภายในร้าน ต้องเป็นลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าในร้านเท่านั้น โดยจะมีการติดป้ายประกาศไว้ในร้านทุกสาขาทั่วภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และรับรองความปลอดภัยสำหรับพนักงานและลูกค้าที่จ่ายเงินซื้อสินค้า
Fox อ้างรายงานข่าวของสำนักข่าว AP ที่ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการ “กลับหลังหัน” จากนโยบาย “เปิดประตู” ในปี 2561 ซึ่งนำมาใช้หลังจากเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีการจับกุมชายผิวสี 2 คนที่ร้านแห่งหนึ่งในฟิลาเดลเฟีย โดยทางสตาร์บัคส์ กล่าวว่า จรรยาบรรณฉบับปรับปรุงนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของบริษัทในการสร้างสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน
Fox สรุปแนวทางการเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดของสตาร์บัคศ์ไว้ว่า นโยบายที่ปรับปรุงใหม่ของสตาร์บัคส์ กำหนดให้ลูกค้าต้องซื้อสินค้าหากต้องการอยู่ในร้านหรือใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของร้าน นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังห้ามสูบบุหรี่ สูบบุหรี่ไฟฟ้า ใช้ยาเสพติด ขอทาน และนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากภายนอกเข้ามาในร้าน ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกขอให้ออกจากร้าน และอาจมีการเรียกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายหากจำเป็น โดยพนักงานของสตาร์บัคส์จะได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับนโยบายใหม่นี้
ยังไม่ชัดเจนว่า สตาร์บัคส์ มีแผนจะบังคับใช้กฎใหม่อย่างเคร่งครัดเพียงใด หรือสถานการณ์เฉพาะใดที่อาจทำให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง และยังไม่ได้ให้รายละเอียดว่าพนักงานจะได้รับการฝึกอบรมอย่างไรเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายหรือแรงกดดันที่อาจเกิดขึ้นจากลูกค้า โดย จาซี แอนเดอร์สัน (Jaci Anderson) โฆษกของสตาร์บัคส์ กล่าวว่า เราต้องการให้ทุกคนรู้สึกยินดีต้อนรับและรู้สึกสบายใจในร้านของเรา” การกำหนดความคาดหวังที่ชัดเจนเกี่ยวกับพฤติกรรมและการใช้พื้นที่ของเรา จะทำให้เราสามารถสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายที่มีอยู่แล้วในร้านค้าปลีกอื่นๆ อีกหลายแห่ง
แถลงการณ์ของสตาร์บัคส์ ชี้แจงว่าจรรยาบรรณร้านกาแฟฉบับใหม่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อกีดกันใครออกไป แต่เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและสะดวกสบายยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าทุกคน โดยระบุว่า เราต้องการให้ทุกคนรู้สึกยินดีต้อนรับและรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในร้านของเรา การนำจรรยาบรรณร้านกาแฟมาใช้เป็นสิ่งที่ร้านค้าปลีกส่วนใหญ่มีอยู่แล้ว และเป็นขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมที่ช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญให้กับลูกค้าที่จ่ายเงินของเราที่ต้องการนั่งและเพลิดเพลินกับร้านกาแฟของเราหรือต้องการใช้ห้องน้ำระหว่างที่เข้าเยี่ยมชม ซึ่งหมายความว่าร้านกาแฟ ลานกลางแจ้ง และห้องน้ำของเรามีไว้สำหรับลูกค้าและพันธมิตร
“ด้วยการกำหนดความคาดหวังที่ชัดเจนเกี่ยวกับพฤติกรรมและการใช้พื้นที่ของเรา เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนได้ การปรับปรุงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างที่เรากำลังดำเนินการเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ในร้านกาแฟในขณะที่เรากำลังดำเนินการเพื่อนำ Starbucks กลับมา” แถลงการณ์ของสตาร์บัคส์ ระบุ
ย้อนไปเมื่อปี 2561 หลังจากเหตุการณ์ที่โด่งดังซึ่งมีชายผิวสีสองคนถูกจับกุมที่สาขาแห่งหนึ่งในฟิลาเดลเฟียในขณะที่กำลังรอการประชุมทางธุรกิจ เหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งถูกบันทึกเป็นวิดีโอได้จุดชนวนให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางและกระตุ้นให้ โฮเวิร์ด ชูลท์ซ (Howard Schultz) ประธานสตาร์บัคส์ในขณะนั้นนำนโยบายเปิดประตูต้อนรับทุกคนเข้ามานั่งในร้านได้มาใช้เพื่อให้ร้านค้ามีความครอบคลุมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยสำหรับพนักงาน โดยมีรายงานการใช้ยาและพฤติกรรมที่ก่อกวนอื่นๆ ในปี 2565 สตาร์บัคส์ได้ปิดร้านค้า 16 แห่งเพื่อตอบสนองต่อปัญหาความปลอดภัยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยอ้างถึงเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อพนักงานและลูกค้า
ขอบคุณภาพจากรอยเตอร์
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.fox5ny.com/news/starbucks-buy-or-leave-policy
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี