22 ม.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Trump escalates campaign against diversity, threatens private sector probes ระบุว่า หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ลงนามคำสั่งเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2568 ยุติโครงการความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว (DEI) ซึ่งพยายามส่งเสริมโอกาสสำหรับผู้หญิง ชนกลุ่มน้อย ชาว LGBTQ+ และกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการยอมรับตามจารีตเดิม ผู้นำสหรัฐฯ ยังมีความพยายามขยายนโยบายดังกล่าวที่บังคับใช้กับหน่วยงานภาครัฐไปยังภาคเอกชนด้วย
คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์มีจุดมุ่งหมายเพื่อห้ามไม่ให้บริษัทเอกชนที่ได้รับสัญญาจากรัฐบาลจ้างพนักงาน โดยคำสั่งนี้อธิบายว่า การจ้างงานอันมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติและการให้สิทธิพิเศษ DEI ที่ผิดกฎหมาย และได้ขอให้หน่วยงานของรัฐระบุบริษัทเอกชนที่อาจถูกสอบสวนทางแพ่ง แต่รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับวิธีการที่รัฐบาลทรัมป์จะบังคับใช้การสอบสวนการปฏิบัติตามกฎหมายแพ่ง ยังไม่มีการเปิดเผยในทันที
ภายใต้แผนดังกล่าว หน่วยงานแต่ละแห่งจะต้องระบุการสอบสวนการปฏิบัติตามกฎหมายแพ่งที่อาจเกิดขึ้นได้สูงสุดถึง 9 กรณี ได้แก่ บริษัทมหาชน บริษัทหรือสมาคมที่ไม่แสวงหากำไรขนาดใหญ่ มูลนิธิที่มีทรัพย์สิน 500 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป สมาคมทนายความและการแพทย์ของรัฐและท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีเงินบริจาคมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม การให้สิทธิพิเศษในการจ้างงานแก่ทหารผ่านศึกในภาครัฐและภาคเอกชนสามารถดำเนินต่อไปได้
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2568 ซึ่งยุติแผนริเริ่มในยุครัฐบาล โจ ไบเดน (Joe Biden) ในการส่งเสริมความหลากหลายในสำนักงานบริหารการบินแห่งสหรัฐฯ (FAA) โดยสั่งให้ผู้บริหาร FAA หยุดโปรแกรมการจ้างงานตามหลัก DEI ทันที โดยทรัมป์สั่งให้ FAA ดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งจะแทนที่พนักงานคนใดก็ตามที่ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความสามารถของตนได้ และการจ้างงานของ FAA ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับการรับรองความปลอดภัยของผู้โดยสารสายการบินและความเป็นเลิศในการทำงานโดยรวมเท่านั้น
ในส่วนของภาครัฐ ทรัมป์สั่งให้หน่วยงานและแผนกต่างๆ ของรัฐบาลกลางยกเลิกโปรแกรม DEI ทั้งหมด และแจ้งให้พนักงานของโปรแกรมดังกล่าวทราบว่าจะถูกพักงานแต่ยังคงได้รับเงินเดือน ทั้งนี้ การออกคำสั่งดังกล่าวของทรัมป์ เป็นเพิกถอนคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีมาตั้งแต่ปี 2508 ซึ่งลงนามโดย ลินดอน จอห์นสัน (Lyndon Johnson) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวลานั้น เพื่อปกป้องสิทธิของคนงานที่ทำงานให้กับผู้รับเหมาของรัฐบาลกลาง เพื่อให้แน่ใจว่าจะปราศจากการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา เพศ รสนิยมทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ หรือชาติกำเนิด
บาซิล สมิเคิล จูเนียร์ (Basil Smikle Jr) นักยุทธศาสตร์การเมืองและที่ปรึกษาทางนโยบาย กล่าวว่า ตนรู้สึกไม่สบายใจกับคำกล่าวอ้างของรัฐบาลทรัมป์ที่ว่าโครงการความหลากหลายทำให้ความสำคัญของคุณธรรม ความรู้ความสามารถ การทำงานหนัก และความมุ่งมั่นของแต่ละบุคคลลดน้อยลง เนื่องจากคำกล่าวดังกล่าวบ่งชี้ว่าผู้หญิงและคนผิวสีขาดคุณธรรมหรือคุณสมบัติ มีความพยายามอย่างชัดเจนที่จะขัดขวางหรือทำลายอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของคนผิวสีและผู้หญิง ซึ่งสิ่งที่ทำคือการเปิดประตูให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวกมากขึ้น
ขอบคุณเรื่องจาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/inter/854861 ‘ทรัมป์’ทำจริง! ออกคำสั่งกำหนดให้เอกสารทางการรับรองเพศแค่‘ชาย-หญิง’
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี