23 ม.ค. 2568 สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ แสดงความยินดีที่ประเทศไทยบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งให้การรับรองอย่างเท่าเทียมต่อการแต่งงานระหว่างคู่รักเพศเดียวกัน และปูทางไปสู่ความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วมที่มากขึ้น ที่ซึ่งทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการแต่งงาน ไม่ว่าจะมีอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศวิถีใด
กฎหมายฉบับใหม่ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 23 มกราคม 2568 นี้ ทำให้คู่รักทุกคู่ ไม่ว่าจะมีอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศวิถีแบบใด สามารถเข้าถึงการแต่งงานและการได้รับรองทางกฎหมาย รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมในบริบทของการได้รับการดูแลทางการแพทย์ ทรัพย์สิน การรับมรดก การเก็บภาษี และการรับบุตรบุญธรรม นอกเหนือจากข้ออื่นๆ
คาเทีย ชิริซซี รักษาการแทนผู้แทนสำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและชุมชนผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTIQ+) หลังจากการรณรงค์มากกว่าทศวรรษและความพยายามอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยของนักกิจกรรม นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และองค์กรภาคประชาสังคม ที่สนับสนุนสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่มีส่วนร่วมและเท่าเทียมยิ่งขึ้นในประเทศไทย ที่ซึ่งทุกคนสามารถแต่งงานกับคนที่เขารัก ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ใด
“นับเป็นตัวอย่างที่ดีของความเป็นผู้นำในอาเซียนและภูมิภาคโดยรวม” คาเทีย กล่าว
แม้ว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้จะถือเป็นก้าวสำคัญ ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและการตีตราทางสังคมในหลายเรื่อง รวมถึงการจ้างงาน การศึกษา และการบริการสุขภาพ คู่รักเพศเดียวกันยังคงเผชิญอุปสรรค ทั้งในบริบทของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ครองบุตร ด้วยเหตุนี้ การผลักดันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมอย่างแท้จริงในทางปฏิบัติจึงมีความสำคัญอย่างมาก
รักษาการแทนผู้แทนสำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังกล่าวด้วยว่า ขอให้รัฐบาลไทยบังคับใช้กฎหมายใหม่นี้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันความเท่าเทียมทางเพศและการมีส่วนร่วมยิ่งขึ้นไป ด้วยการให้ความคุ้มครองทางกฎหมายต่อการเลือกปฏิบัติ รวมถึงการผ่าน ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ และ พ.ร.บ.การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ
“ขั้นตอนเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างสังคมที่ยกย่องความหลากหลาย และคนทุกคนสามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ปราศจากการเลือกปฏิบัติ” คาเทีย กล่าว
อนึ่ง กฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ยังได้ปรับเพิ่มอายุที่สามารถแต่งงานได้อย่างถูกกฎหมายเป็น 18 ปีจากเดิม 17 ปี ซึ่งเป็นไปตามอายุขั้นต่ำสำหรับการสมรสที่ได้ระบุไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งประเทศไทยเข้าเป็นรัฐภาคีตั้งแต่ปี 2535
ขอบคุณเรื่องจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี