24 ม.ค. 2568 สำนักข่าว Channel News Asia ของสิงคโปร์ เสนอรายงานพิเศษ ‘I feel very safe here’: Chinese nationals in Thailand debunk online claims fanning scam trafficking fears ระบุว่า นับตั้งแต่ หวังซิง (Wang Xing) นักแสดงหนุ่มชาวจีน ที่หายตัวไปบริเวณ จ.ตาก ชายแดนไทย-เมียนมา เมื่อวันที่ที่ 4 ม.ค. 2568 ก่อนพบตัวและได้รับการส่งกลับประเทศจีนในเวลาต่อมา ยังคงสร้างความหวาดผวาให้กับชาวจีนจำนวนไม่น้อย และทำให้ไม่กล้าเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศไทย
ประเทศไทยและเมียนมามีพรมแดนยาวกว่า 2,400 กิโลเมตร ซึ่ง หวัง เล่าว่า ตนถูกหลอกให้เดินทางไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่ประเทศไทย ก่อนจะถูกพาตัวจากกรุงเทพฯ ไปยังพื้นที่ชายแดน และข้ามฝั่งไปยังเมืองเมียวดีของเมียนมา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นฐานปฏิบัติการของมิจฉาชีพออนไลน์และแหล่งรวมอาชญากรรมอีกหลายประเภท และแม้หวังจะได้รับความช่วยเหลือจนได้กลับบ้าน พร้อมกับยืนยันว่าประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัย แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความพยายามของไทยในการฟื้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว
นักร้องชาวฮ่องกง อีสัน ชาน (Eason Chan) ถอนตัวจากคอนเสิร์ตคืนเดียวที่กำหนดไว้ในวันที่ 22 ก.พ. 2568 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งผู้จัดงานให้เหตุผลว่า ความปลอดภัยของผู้ชมมีความสำคัญสูงสุด โดยอ้างถึงความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีน ขณะที่ในพื้นที่ออนไลน์ของจีน เต็มไปด้วยคำเตือนว่าไม่ควรเดินทางไปประเทศไทย อาทิ ผู้ใช้รายหนึ่งใน Xiaohongshu กล่าวในคอมเมนต์ซึ่งมีผู้กดถูกใจมากกว่า 4,600 คนและแสดงความคิดเห็น 2,000 รายการ ว่า ตนไม่แนะนำให้ไปที่นั่นตอนนี้ เพราะอัตราการลักพาตัวเพิ่มขึ้น
ผู้ใช้แอปแชร์วิดีโอ Douyin (TikTok เวอร์ชั่นสำหรับใช้ในประเทศจีน) ได้แชร์วิดีโอที่มีชื่อว่า “แนวทางปฏิบัติเพื่อเอาชีวิตรอดในปี 2025” ซึ่งมีเพลงประกอบที่ฟังดูน่ากลัว โดยเตือนนักท่องเที่ยวที่อาจไปเยี่ยมชมประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย กัมพูชา และมาเลเซีย ว่าไม่ควรเดินทางไป ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนของบริษัท ท่องเที่ยวแบบกลุ่ม หรือท่องเที่ยวส่วนตัว โปรดจำไว้
อัศวิน ยังกีรติวร (Atsawin Yangkiratiwon) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ ยอมรับว่า เที่ยวบินเช่าเหมาลำจากเมืองต่างๆ ในจีน เช่น หนิงปัว เหอเฟย และจี่หนาน จำนวน 40 เที่ยวบิน ถูกยกเลิกก่อนเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นช่วงที่การเดินทางมีกำไรมากที่สุด ส่งผลให้เที่ยวบินลดลงร้อยละ 20
เช่นเดียวกับ ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ (Thapanee Kiatphaibool) ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่กล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนราว 10,000 คนได้ยกเลิกการเดินทางหลังจากเหตุการณ์ของหวัง และมองว่าการรายงานข่าวเชิงลบในสื่อสังคมออนไลน์เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชื่อเสียงของประเทศไทยแพร่กระจายออกไป อย่างไรก็ตาม เธอยังคงมองในแง่ดีว่าไทยจะบรรลุเป้าหมายในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน 8 ล้านคนในปี 2568 เพิ่มขึ้นจาก 6.73 ล้านคนในปี 2567 แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะไม่แน่ใจเกี่ยวกับตัวเลขการฟื้นตัว
การเผชิญชะตากรรมของหวังนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทย นั่นคือก่อนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนซึ่งเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว ซึ่งชาวจีนเคยเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดของไทย โดยมีนักท่องเที่ยวไปเยือนถึง 11 ล้านคนในปี 2562 ก่อนที่การระบาดของไวรัสโควิด-19 จะสร้างความเสียหายให้กับภาคการท่องเที่ยวทั่วโลก
ผู้เชี่ยวชาญเผยว่าสื่อสังคมออนไลน์ด้านหนึ่งแม้มีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตหวัง แต่อีกด้านก็ทำให้การคาดเดาและข้อมูลที่ผิดพลาดแพร่กระจายออกไปด้วย โดยหลังจากที่สูญเสียการติดต่อกับหวัง แฟนสาวของเขาก็ใช้ไมโครบล็อกยอดนิยมอย่าง Sina Weibo เพื่อแชร์คำขอความช่วยเหลือ ซึ่งดึงดูดความสนใจจากคนดังชาวจีนคนอื่นๆ และกลายเป็นไวรัล นักแสดงสาวชาวไต้หวัน ซู่ฉี (Shu Qi) เขียนบน Weibo ว่า “ฉันขอให้เขา (หวัง) ปลอดภัย และหวังว่าเขาจะพบเขาในเร็วๆ นี้” และแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเขาสร้างยอดผู้เข้าชมมากกว่า 12,000 ล้านครั้งบนเว็บไซต์
ในเว็บไซต์ติดตามข้อมูล Douyin ที่ชื่อว่า Douchacha มีการบันทึกการโต้ตอบเกี่ยวกับการลักพาตัวของหวังกว่า 240 ล้านครั้งในช่วง 30 วัน โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่มาจากมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน คำค้นหา เช่น “ยกเลิกตั๋วเครื่องบินและค่าบริการโรงแรมในประเทศไทย” ยังคงได้รับการกล่าวถึงหลายแสนครั้งบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของจีน
อีกด้านหนึ่ง ชาวจีนที่คุ้นเคยกับประเทศไทย พยายามเผยแพร่ข้อมูลที่ยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ได้อันตรายอย่างที่แชร์กันในพื้นที่ออนไลน์ของจีน อาทิ ฉินซือ (Qin Zi) หญิงวัย 64 ปีจากเมืองซูโจวทางตะวันออกของจีน เดินทางไปเที่ยว จ.เชียงใหม่เพื่อพักผ่อน โดยนั่งเครื่องบินไป 5 ชั่วโมงเพื่อพบปะเพื่อนฝูงและใช้เวลาที่รีสอร์ทเพื่อสุขภาพ ว่ายน้ำ และพักผ่อน กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้ว ตนรู้สึกปลอดภัยที่นี่
“ฉันสามารถตัดสินใจและบินไปเมื่อไรก็ได้ เพราะฉันมีเพื่อนที่รู้จักมานานกว่าทศวรรษและไว้ใจได้” ป้าฉิน กล่าว
เช่นเดียวกับ ซูเว่ยหง (Xu Weihong) หญิงวัย 57 ปีจากเซี่ยงไฮ้ ซึ่งตัดสินใจใช้ชีวิตหลังเกษียณที่ จ.เชียงใหม่ เล่าว่า เพื่อนและญาติของตนที่เมืองจีนรู้สึกเป็นห่วง ซึ่งบางเรื่องเป็นเรื่องจริงแต่บางเรื่องก็ไม่จริง ตนแบ่งปันชีวิตประจำวันของที่นี่เป็นการส่วนตัวเพื่อให้พวกเขารู้ว่าตนปลอดภัย รวมถึง ยู่หลิน (Yulin) หญิงวัย 59 ปี ที่ย้ายจากกรุงปักกิ่งมาใช้ชีวิตหลังเกษียณที่ จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การอยู่ในประเทศไทยนั้นแตกต่างอย่างมากจากข่าวลือทางออนไลน์ ซึ่งตนไม่เคยรู้สึกกลัวที่นี่เลย เพราะผู้คนเป็นมิตรและเต็มใจช่วยเหลือเสมอ
จากเชียงใหม่ลงใต้ไป จ.ภูเก็ต ชู (Chu) ชายชาวจีนวัย 47 ปี ซึ่งบริหารบริษัทประชาสัมพันธ์และการถ่ายภาพงานอีเวนท์ในปักกิ่ง แต่พักอาศัยกับครอบครัวที่ภูเก็ตมาเกือบ 1 ปีแล้ว ได้ออกมาโพสต์คลิปวีดีโอความยาว 3 นาที บนแอปพลิเคชั่นสนทนายอดนิยมของจีนอย่าง WeChat ระบุว่า กลุ่มชาวจีนที่มีเจตนาไม่ดีได้ลักพาตัวผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งและนำตัวเขาไปที่ฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา ซึ่งฐานดังกล่าวก็เป็นชาวจีนที่สร้างขึ้นมาเอง
“เมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมคือความเสียใจ หากเราเพลิดเพลินกับความสงบและความปลอดภัยของประเทศไทย ถือว่าประเทศนี้เป็นบ้านหลังที่สองและรักประเทศไทยอย่างแท้จริง เราทุกคนควรออกมาพูด” ชู กล่าว
ในการให้สัมภาษณ์กับ Channel News Asia ชู กล่าวว่า ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากปัญหามิจฉาชีพออนไลน์ แต่ชาวจีนเองก็อาจถูกมองในแง่ลบจากปฏิกิริยาของพวกเขาทางออนไลน์ โดยอธิบายว่า หากชาวเน็ตจีนให้คำกล่าวที่ไม่เป็นกลางหรือเป็นเท็จเกี่ยวกับปัญหาความปลอดภัยในประเทศไทย) อาจส่งผลให้เกิดความไม่พอใจต่อชาวจีนที่อยู่ในสังคมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะ หากมีเรื่องเล่าที่โดดเด่นเพียงเรื่องเดียวบนพื้นที่ออนไลน์ของจีน ผู้คนจะคิดว่าชาวเน็ตจีนไม่มีเหตุผลและไม่เห็นคุณค่า
เจ้าของโรงแรม เช่น ทอมมี่ คู (Tommy Qu) ผู้บริหารรีสอร์ทในเชียงใหม่ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเปิดเผยว่า ได้รับการคืนเงินจากกลุ่มนักท่องเที่ยวสองสามกลุ่ม เนื่องจากลูกค้าชาวจีนเชื่อว่าการมาประเทศไทยมีความเสี่ยง
ผานเว่ยเฉียง (Pan Weiqiang) ชายชาวจีนซึ่งบริหารบริษัททัวร์ที่มีสาขาในเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียง โดยเสนอบริการทัวร์ขับรถเองมาจากมณฑลยูนนานของจีน กล่าวว่า ข่าวเรื่องความยากลำบากของหวังซิง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของตนอย่างมาก ซึ่งทัวร์แต่ละทัวร์รองรับได้ 10 - 40 คนและมีค่าใช้จ่ายระหว่าง 7,000 - 20,000 หยวน (ราว 35,000 – 100,000 บาท) ต่อคน ขึ้นอยู่กับเส้นทางและจุดหมายปลายทาง
“เดิมทีมีการจองทัวร์ 9 ทัวร์สำหรับเทศกาลตรุษจีน และ 7 ทัวร์ได้ถอนตัวออกไปแล้ว ซึ่งทำให้ขาดทุนจำนวนมาก หลังจากเรื่องราวของ (หวัง) เปิดเผย ทัวร์ 7 ทัวร์ก็ถูกยกเลิกภายใน 1 สัปดาห์ ทัวร์ที่เหลืออีก 2 ทัวร์ยังคงอยู่ต่อเนื่องจากส่งเอกสารและเงินมัดจำไปแล้ว” ผาน ระบุ
ผาน กล่าวต่อไปว่า ภาพยนตร์บางเรื่องเคยสร้างความกังวลในระดับหนึ่งในอดีต แต่ไม่ถึงขั้นกรณีการลักพาตัวหวังซิง ซึ่งตอนนี้มีให้เห็นทุกที่ (ทางออนไลน์) ไม่ว่าจะเป็นบน Douyin, Xiaohongshu หรือที่อื่นๆ และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนว่าประเทศไทยยังคงปลอดภัย ผานและหุ้นส่วนธุรกิจทั้งในไทย จีนและลาว จึงหันมาใช้โฆษณาทางโทรทัศน์และออนไลน์เพื่อส่งเสริมข้อมูลด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับทัวร์ขาเข้าในประเทศไทย โดยหวังว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะมองไปไกลกว่าสิ่งที่ถูกกล่าวอ้างบนโลกออนไลน์
“หากพวกเขาเข้าใจวัฒนธรรมและประเพณีของไทย พวกเขาจะตระหนักได้ว่าคำกล่าวอ้างมากมายบนอินเตอร์เน็ตนั้นไร้เหตุผล” ผาน กล่าวย้ำ
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยกำลังพยายามบรรเทาความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยมีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างภาพและเสียงที่เหมือนกับนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร (Paetongtarn Shinawatra) เพื่อสื่อสารกับชาวจีนเป็นภาษาจีน โดยมีข้อความว่า ฉันเข้าใจว่ารายงานล่าสุดเกี่ยวกับชาวจีนที่ถูกหลอกล่อไปยังแหล่งหลอกลวงบริเวณชายแดนประเทศไทยได้จุดชนวนความกังวลให้กับหลายๆ คน ซึ่งฉันสัญญาว่ารัฐบาลไทยจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นอันดับแรก
ทางการไทยยังทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจจากฮ่องกงเพื่อติดตามกรณีที่คนในพื้นที่ถูกล่อลวงไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบังคับให้ทำงานผิดกฎหมาย ขณะที่ฝั่งเมียนมา รัฐบาลทหารเมียนมา เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2566 เป็นต้นมา ได้จับกุมและส่งตัวคนงานที่อยู่ในฐานปฏิบัติการมิจฉาชีพออนไลน์ซึ่งเป็นงชาวจีนมากกว่า 53,000 คนกลับประเทศจีน ล่าสุดในระหว่างการประชุมร่วมกันที่เมืองคุนหมิงของจีนเมื่อสัปดาห์นี้ จีน ไทยและเมียนมา ได้บรรลุฉันทามติร่วมกัน โดยให้คำมั่นว่าจะกวาดล้างฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมาให้หมดสิ้น
ซูเต๋อหยา (Xu Deya) รองศาสตราจารย์จากคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัย East China Normal ในเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่าเหตุการณ์ในชีวิตจริงที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากข้อมูลเท็จที่แชร์กันบนสื่อสังคมออนไลน์สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศได้ ในปัจจุบันที่เป็นยุคของสื่อสังคมออนไลน์ ข้อมูลต่างๆ แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ข่าวปลอมหรือเรื่องราวครึ่งๆ กลางๆ แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งแตกต่างจากสื่อแบบดั้งเดิมที่บรรณาธิการต้องรับผิดชอบในการตรวจสอบข้อเท็จจริง
“นักเดินทางที่มีประสบการณ์ซึ่งรู้จักและรักประเทศไทยจะไม่หวั่นไหวไปกับความกลัวที่ผุดขึ้นในโซเชียลมีเดียได้ง่ายๆ แต่นักเดินทางที่เดินทางมาเป็นครั้งแรกที่อาจกำลังคิดจะยกเลิกการเดินทางไปยังประเทศไทย มีความเสี่ยงเป็นพิเศษที่จะได้รับข้อมูลทางออนไลน์ที่เข้าใจผิด” อาจารย์ซู กล่าว
อาจารย์ซู กล่าวต่อไปว่า ภาพยนตร์จีนฟอร์มยักษ์ที่ถ่ายทำในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีพลเมืองถูกลักพาตัวไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรสถานการณ์เช่นกัน โดยยกตัวอย่างภาพยนตร์ระทึกขวัญเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์เรื่อง “No More Bets” ซึ่งออกฉายในปี 2566 ซึ่งอ้างว่าสร้างจากเหตุการณ์จริง มีโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์เดินทางไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และติดอยู่ในฐานปฏิบัติการมิจฉาชีพออนไลน์หลังจากยอมรับข้อเสนองานปลอม
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเล่าว่าสร้างจากเมืองสมมติ แต่เนื้อหาภาษากัมพูชาถูกนำเสนออย่างโดดเด่นตลอดทั้งเรื่อง ส่งผลให้ถูกแบนจากประเทศดังกล่าว โดยรัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ระบุว่า กัมพูชาไม่ได้แย่อย่างที่ภาพยนตร์นำเสนอ ชาวจีนสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมข้อความต่อต้านการหลอกลวงต่อประชาชนของตนเอง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของกัมพูชา ตลอดจนประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเมียนมาและไทย และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศเหล่านี้ด้วย
“เนื่องจากกฎระเบียบในประเทศจีนมีข้อจำกัดอย่างมากในการฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับอาชญากรรม การฆาตกรรม หรือการสืบสวนคดีอาญาที่เกิดขึ้นในประเทศ จึงมีการถ่ายทำในต่างประเทศ เช่น ภูเก็ต (ไทย) หรือบาหลี (อินโดนีเซีย) สิ่งนี้ทำให้เกิดภาพบิดเบือนว่าสถานที่เหล่านั้นอันตรายกว่า” อาจารย์ซู อธิบาย
อาจารย์ซู ทิ้งท้ายว่า ในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติเชิงลบต้องใช้เวลา และแนะนำให้ขอความช่วยเหลือเหล่าดาราและผู้มีชื่อเสียงให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ ซึ่งอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะผู้คนจะมองผ่านเลนส์ของความบันเทิง
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.channelnewsasia.com/east-asia/thailand-china-scam-centre-misinformation-war-4891776
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี