26 ม.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Zelenskiy says Trump could end Ukraine war only if Kyiv included in talks อ้างคำกล่าวของ โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskiy) ประธานาธิบดียูเครน เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2568 ซึ่งระบุว่า สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) สามารถทำตามที่ให้คำมั่นไว้เรื่องยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนได้ แต่ต้องให้ยูเครนเข้าร่วมกระบวนการเจรจาด้วย
ทรัมป์ซึ่งเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 เคยกล่าวระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งว่าจะยุติสงครามภายใน 24 ชั่วโมงแรกในทำเนียบขาว โดยไม่ได้ระบุว่าจะยุติอย่างไร แต่ผู้ช่วยได้เสนอว่าข้อตกลงอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือน ขณะที่ผู้นำยูเครน ตั้งข้อสังเกตว่า เงื่อนไขของข้อตกลงใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นภายใต้การนำของทรัมป์นั้นยังไม่ชัดเจน และอาจจะไม่ชัดเจนสำหรับทรัมป์เองด้วยซ้ำ เนื่องจากทางฝั่งรัสเซีย ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) ยังไม่มีความสนใจที่จะยุติสงคราม
เซเลนสกีกล่าวกับผู้สื่อข่าวร่วมกับ ไมอา ซานดู (Maia Sandu) ประธานาธิบดีมอลโดวา ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มาเยือนว่า การยุติสงครามจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากทรัมป์ไม่นำยูเครนเข้าร่วมในการเจรจาใดๆ ขณะที่ในการให้สัมภาษณ์แยกกันซึ่งออกอากาศในเวลาต่อมาในวันที่ 25 ม.ค. 2568 เซเลนสกีกล่าวว่า ตนเชื่อว่าทรัมป์ต้องการเห็นสงครามยุติลงอย่างแท้จริง โดยใกล้จะครบ 3 ปีในเดือนหน้า (ก.พ. 2568) แล้ว
ในการให้สัมภาษณ์กับ เซซิเลีย ซาลา (Cecilia Sala) ผู้สื่อข่าวชาวอิตาลี ซึ่งเคยถูกอิหร่านควบคุมตัวไว้เป็นเวลา 21 วัน เซเลนสกี ได้กล่าวว่า ตอนนี้เราไม่ทราบว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเราไม่ทราบรายละเอียด ตนเชื่อว่าทรัมป์เองก็ไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด เพราะตนคิดว่าขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถบรรลุสันติภาพที่ยุติธรรมได้แค่ไหน และปูตินต้องการยุติสงครามโดยหลักการหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าเขาไม่ต้องการ
ทรัมป์ กล่าวว่า ตนเข้าใจถึงความท้าทายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสันติภาพ และกำลังพูดเพียงว่าเรื่องนี้จะต้องยุติลง มิฉะนั้นจะเลวร้ายลง โดยผู้นำคนล่าสุดของสหรัฐฯ แสดงความเต็มใจที่จะพูดคุยกับผู้นำรัสเซียเกี่ยวกับการยุติสงคราม ซึ่งแตกต่างจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อนหน้าอย่าง โจ ไบเดน (Joe Biden) ซึ่งเมินผู้นำรัสเซีย ด้านยูเครนซึ่งกังวลมานานเกี่ยวกับแนวโน้มที่ชะตากรรมของประเทศจะถูกตัดสินโดยมหาอำนาจที่ใหญ่กว่าโดยไม่ได้มีส่วนร่วม กล่าวว่า กำลังดำเนินการเพื่อจัดการประชุมระหว่างเซเลนสกีและทรัมป์
ในการแถลงข่าวร่วมกับผู้นำมอลโดวา เซเลนสกี กล่าวว่า ตนเชื่อว่าพันธมิตรในยุโรปควรได้รับการรวมอยู่ในข้อตกลงสันติภาพในอนาคตด้วย โดยร่วมกระบวนการเจรจากับสหรัฐฯ ยูเครนและรัสเซีย ทั้งนี้ การที่ผู้นำยูเครนอยากให้ยุโรปเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะยูเครนมีความตั้งใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งได้ยื่นคำร้องไปพร้อมกับมอลโดวาในปี 2565 ในช่วงไม่กี่วันหลังจากที่รัสเซียยกกองทัพบุกยูเครน
ในวันที่ 24 ม.ค. 2568 ปูติน กล่าวว่า ตนต้องการพบกับทรัมป์เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับยูเครน โดยอ้างถึงคำสั่งของเซเลนสกีเมื่อปี 2565 ที่ห้ามการเจรจากับปูติน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา จากนั้นในวันที่ 25 ม.ค. 2568 เซเลนสกีได้ออกมาอธิบายว่า ตนได้ออกคำสั่งห้ามดังกล่าวเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ผู้นำรัสเซียสร้างช่องทางการสื่อสารกับกลุ่มอื่นๆ ในยูเครน ซึ่งผู้นำยูเครนอ้างว่ารัสเซียพยายามทำเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มที่สนับสนุนแนวคิดแบ่งแยกดินแดน พร้อมกับย้ำว่า ตนคือผู้มีอำนาจในการเจรจาในฐานะประธานาธิบดีของยูเครน
เซเลนสกี ยังกล่าวอีกว่า ยูเครนพร้อมที่จะส่งถ่านหินไปยังมอลโดวา ซึ่งกำลังเผชิญกับวิกฤติพลังงาน หลังจากการส่งก๊าซของรัสเซียผ่านยูเครนหยุดชะงักลงในช่วงปีใหม่ ซึ่งมอลโดวากล่าวหาว่ารัสเซียปฏิเสธที่จะส่งก๊าซผ่านเส้นทางอื่น โดย ซานดู กล่าวว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดของรัสเซียคือการสร้างวิกฤติพลังงาน เนื่องจากราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้นในพื้นที่ที่รัฐบาลของตนควบคุม และสถานการณ์เลวร้ายลงในภูมิภาคที่ยึดครองโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่นิยมรัสเซีย ซึ่งพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียและต้องประสบกับปัญหาไฟฟ้าดับทุกวัน ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่คำนวณมาอย่างดีของรัสเซียในการสร้างความวุ่นวายในมอลโดวา และนำรัฐบาลที่นิยมรัสเซียขึ้นสู่อำนาจในมอลโดวา
ขอบคุณเรื่องจาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี