28 ม.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ เสนอรายงานพิเศษ What is DeepSeek and why is it disrupting the AI sector? ว่าด้วย 'DeepSeek' แชทบอทเอไอสัญชาติจีน ซึ่งกลายเป็นแอปพลิเคชั่นที่มียอดโหลดแอปฯ ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในสหรัฐฯ แซงหน้า ChatGPT ของบริษัท OpenAI จนเกิดกระแสฮือฮาไปทั่ววงการไอทีทั่วโลก
รายงานของรอยเตอร์ ระบุว่า DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพจากจีน เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ-AI) รุ่นล่าสุด ซึ่งบริษัทระบุว่าเทียบเท่าหรือดีกว่าโมเดลชั้นนำของอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียว กำลังกลายเป็นภัยคุกคามต่อระเบียบโลกด้านเทคโนโลยี โดยเอกสารที่เผยแพร่เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 เปิดเผยว่า การฝึก DeepSeek-V3 ใช้พลังประมวลผลจากชิป Nvidia H800 ที่มีมูลค่าไม่ถึง 6 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 210 ล้านบาท) ทำให้ได้รับความสนใจอย่างมาก
ปัญญาประดิษฐ์ผู้ช่วย (AI Assistant) ผลงานของ DeepSeek ซึ่งขับเคลื่อนโดย DeepSeek-V3 ได้แซงหน้าคู่แข่งสำคัญอย่าง ChatGPT และกลายมาเป็นแอปพลิเคชั่นฟรีที่มีคะแนนสูงสุดบน App Store ของ Apple ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ บางแห่งที่ให้คำมั่นว่าจะลงทุนด้าน AI เป็นมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ และหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายแห่ง รวมถึง Nvidia ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
- เหตุใด DEEPSEEK จึงทำให้เกิดความปั่นป่วน? : การเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI ในช่วงปลายปี 2565 ทำให้บริษัทเทคโนโลยีของจีนต้องเร่งสร้างแชทบอทของตนเองที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ อย่างไรก็ตาม การเปิดตัว AI ประเภทเดียวกับ ChatGPT ตัวแรกของจีน ซึ่งผลิตโดยยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องมือค้นหาของจีนอย่าง Baidu ก็เกิดความผิดหวังอย่างกว้างขวางในประเทศจีนเกี่ยวกับช่องว่างด้านความสามารถของ AI ระหว่างบริษัทในสหรัฐฯ และจีน
แต่กับ DeepSeek นั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง สตาร์ทอัพรายนี้เผยว่า โมเดลสองโมเดลอย่าง DeepSeek-V3 และ DeepSeek-R1ได้รับคำชมมากมายจากผู้บริหารในซิลิคอนวัลเลย์และวิศวกรของบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ว่าเทียบเคียงได้กับโมเดลขั้นสูงที่สุดของบริษัทไอทีชั้นนำในสหรัฐฯ อย่าง OpenAI และ Meta อีกทั้งยังใช้งานได้ด้วยราคาที่ถูกกว่า โดยตามคำกล่าวอ้างของ DeepSeek ที่โพสต์ไว้บนบัญชี WeChat ของบริษัท ระบุว่า DeepSeek-R1 ซึ่งเปิดตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ใช้งานได้ถูกกว่าโมเดล OpenAI o1 ราว 20 - 50 เท่า
อย่างไรก็ตาม มีบางคนแสดงความไม่เชื่อมั่นต่อเรื่องราวความสำเร็จของ DeepSeek ต่อสาธารณะ อาทิ อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexandr Wang) ซีอีโอของ Scale AI บริษัทเอไอสัญชาติสหรัฐฯ พูดถึงเรื่องนี้ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ CNBC เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2568 โดยไม่ได้แสดงหลักฐานว่า DeepSeek มีชิป Nvidia H100 จำนวน 50,000 ตัว ซึ่งหวังอ้างว่าจะไม่เปิดเผยเพราะจะถือเป็นการละเมิดการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามขายชิป AI ขั้นสูงดังกล่าวให้กับบริษัทจีน ขณะที่ DeepSeek ไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าวในทันที
ในวันที่ 27 ม.ค. 2568 นักวิเคราะห์ของ Bernstein ได้เน้นย้ำในบันทึกการวิจัยว่า ต้นทุนการฝึกอบรมทั้งหมดของ DeepSeek สำหรับโมเดล V3 นั้นไม่ทราบแน่ชัด แต่สูงกว่า 5.58 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 195.3 ล้านบาท) ที่สตาร์ทอัพดังกล่าวระบุว่าใช้สำหรับพลังการประมวลผลมาก ส่วนต้นทุนการฝึกอบรมสำหรับโมเดล R1 ซึ่งได้รับการยกย่องไม่แพ้กันนั้นไม่ได้รับการเปิดเผย
- ใครอยู่เบื้องหลัง DEEPSEEK? : DeepSeek คือสตาร์ทอัพที่ตั้งอยู่ในเมืองหางโจว ซึ่งผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ เหลียงเหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยงเชิงปริมาณ High-Flyer โดยอ้างอิงจากบันทึกของบริษัทในจีน โดยในเดือน มี.ค. 2566 บัญชี WeChat ของกองทุนดังกล่าว ได้เผยเพร่ข้อความ ระบุว่ากำลังเริ่มต้นใหม่ โดยจะไปไกลกว่าการซื้อ-ขาย เพื่อทุ่มเททรัพยากรไปที่การสร้างกลุ่มวิจัยอิสระใหม่ สำหรับการสำรวจแก่นแท้ของ “ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence – AGI)” และในปลายปีเดียวกัน DeepSeek ก็ถูกก่อตั้งขึ้น
ตามนิยามของผู้สร้าง ChatGPT อย่าง OpenAI ระบุว่า AGI เป็นระบบอัตโนมัติที่เหนือกว่ามนุษย์ในงานที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสุด ทั้งนี้ ไม่ชัดเจนว่า High-Flyer ลงทุนใน DeepSeek เท่าไร ซึ่งกองทุน High-Flyer มีสำนักงานตั้งอยู่ในอาคารเดียวกับ DeepSeek และยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์ชิปที่ใช้ในการฝึกโมเดล AI ตามบันทึกของบริษัทในจีน ขณะที่เมื่อย้อนไปในเดือน ก.ค. 2565 แผนก AI ของ High-Flyer โพสต์ข้อความบน WeChat อ้างว่า บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินการคลัสเตอร์ชิป A100 จำนวน 10,000 ตัว
- จีนมอง DeepSeek อย่างไร? : ตามรายงานจากสำนักข่าวซินหัวของจีน ความสำเร็จของ DeepSeek ได้รับการจับตามองในแวดวงการเมืองระดับสูงของจีนแล้ว โดยเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันเปิดตัว DeepSeek-R1 ต่อสาธารณชน เหลียง ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมที่จัดโดย หลี่เฉียง (Li Qiang) นายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งเป็นการประชุมวงปิดสำหรับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ
การประชุมแบบเดียวกันนี้เมื่อปี 2567 มี โรบิน หลี่ (Robin Li) ซีอีโอของ Baidu เข้าร่วม ซึ่งการปรากฏตัวของ Liang ในการประชุมของปีนี้ อาจเป็นสัญญาณว่าความสำเร็จของ DeepSeek มีความสำคัญต่อเป้าหมายนโยบายของรัฐบาลจีนในการเอาชนะการควบคุมการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ และบรรลุความเพียงพอในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ เช่น AI
อีกด้านหนึ่ง นายสันติธาร เสถียรไทย Future Economy Advisor สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เขียนบทความ “DeepSeek เอไอจากจีนที่อาจเปลี่ยนโลก’ เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก “สันติธาร เสถียรไทย - Dr Santitarn Sathirathai” เนื้อหาดังนี้
5 คำถามสำคัญที่ตามมา จากการผงาดขึ้นมาของ DeepSeek เอไอของจีนที่เป็นกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในตอนนี้
ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนทั่วโลก แต่ยังมาจังหวะที่สหรัฐฯเปลี่ยนรัฐบาลพอดี เสมือนเป็นการ‘สะบัดหาง’ครั้งสำคัญของปีงูเล็กเลยกว่าว่าได้และอาจมีผลกระทบในวงกว้างอีกด้วย
(ใครไม่ได้ตามข่าวนี้ผมแปะลิ้งค์ข้อมูลเกี่ยวกับเอไอตัวนี้ไว้ในคอมเมนท์ครับ)
ผมมองว่าปรากฏการณ์นี้น่าจะเปิดอย่างน้อย 5 ประเด็นสำคัญที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ จึงอยากลองแชร์ไว้เผื่อไปช่วยคิดและติดตามกันต่อครับ
1.จีน vs อเมริกา. การมาของ DeepSeek ตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีเอไอของอเมริกายังนำโลกอยู่จริงไหม หรือจีนสามารถวิ่งไล่กวดได้แล้วแม้จะไม่ได้เข้าถึงชิปคุณภาพสูงสุดที่โดนกีดกันจากสหรัฐฯและพันธมิตร และหากไล่กวดได้จริงตามตัวเลขการทดสอบความสามารถเอไอต่างๆที่ออกมา ต่อไปสหรัฐฯจะตอบโต้อย่างไร:
-จะเพิ่มความเข้มข้นของสงครามการค้า-เทคโนโลยีเพื่อให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ได้ยากขึ้นไปอีกไหม หรือ/และ
-จะทุ่มทุนยิ่งกว่าเดิมสร้างกับโครงการเอไอขนาดยักษ์อย่าง Stargate ที่มูลค่าที่ประกาศเกือบเท่าเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ
แต่ในทางกลับกันก็มีคนบอกว่าเพราะไปจำกัดการเข้าถึงชิปของจีนนี่แหละเลยทำให้เขาต้องคิดค้นวิธีใหม่ที่สร้างเอไอได้ประหยัดกว่าเดิม ทำ‘กันดารกลายเป็นสินทรัพย์‘
2.ความสิ้นเปลืองทรัพยากร. การที่ Deepseek ใช้เงินในการพัฒนาเอไอน้อยกว่า พวกบริษัทเทคโนโลยีดังๆของอเมริกาประมาณ 20-30x และ ใช้ชิปที่ไม่ได้ ’ทรงพลัง‘ เท่า (มีคนบอกว่าชิปที่พวกเขาใช้ แค่นักเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยในอเมริกายังมีใช้เลย) ทำให้เกิดคำถามสำคัญในหมู่นักลงทุนและบริษัทเทคฯว่า “เอ้ะ ที่เราลงทุนไปหลายพันล้านเพื่อให้ได้ชิปที่ทรงพลังที่สุดนี่จริงๆแล้วมันจำเป็นหรือเปล่า” สรุปเราจ่ายไปเพื่อซื้อ ’เนื้อ’ หรือ ’ไขมัน’ กันแน่? หรือว่า:
เงินอาจจะไม่ใช้มากขนาดนั้น
ชิพอาจจะไม่ต้องทรงพลังขนาดนั้น
พลังงานก็อาจจะไม่ต้องใช้หนักขนาดนั้น
นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นวงการเทคฯและอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องตื่นตระหนกตกใจพานิคร่วงกันเป็นแถวเมื่อวานนี้
3.โมเดลแบบเปิด vs ปิด. คนส่วนใหญ่อาจมองสงครามเอไอเป็นระหว่างสหรัฐฯ vs จีน แต่สำหรับคนในวงการเทคโนโลยีอีกศึกที่คุกรุ่นมานานคือระหว่าง โมเดลแบบเปิด (Open source) ที่เสมือนเปิด ‘สูตรลับ‘ หรือ โค๊ดให้คนอื่นสามารถเอาไปศึกษา ใช้พัฒนาต่อยอดได้ กับ โมเดลแบบปิดที่ไม่ได้เปิดข้อมูลเหล่านี้ เช่น ChatGPT
Deepseek คือเป็นแบบเปิด จึงทำให้เกิดคำถามว่าโมเดลแบบเปิดนี้มันเจ๋งจนไล่กวดโมเดลแบบปิดที่ซ่อนสูตรลับของตัวเองแล้วหรือ? นึกภาพหากร้านอาหารอร่อยมากๆเปิดสูตรให้คนเอาไปทำที่บ้านแล้วทำออกมามันอร่อยไม่แพ้ร้านแพงๆที่เก็บสูตรเป็นความลับ ต่อไปใครจะอยากไปจ่ายแพงเพื่อกินที่ร้าน แต่ก็มีคำถามต่อไปอีกว่าแล้วต่อไป Deepseek จะยังเปิดสูตรตัวเองไปเรื่อยๆแบบนี้ไหม หรือวันดีคืนดีก็จะปิดมันและเก็บตังค์ค่าใช้แพงๆ และ/หรือ จะมีการเอาข้อมูลของ User ไปใช้อย่างไรเพราะบางคนก็ห่วงเรื่อง data governance
4.ผู้นำ-ผู้ตาม. Deepseek ใช้เวลาแค่ 2 เดือนกว่าๆเท่านั้นในการพัฒนาเอไอที่มี ความสามารถใกล้เคียงกับโมเดลรุ่นใหม่ ของ OpenAI โดยใช้โมเดลของ OpenAI ช่วยเทรนสอนโมเดลของตนเองด้วย เสมือนOpenAI เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกแทบตายกว่าจะบรรลุเคล็ดวิชาใหม่ แต่พอนักเรียนมาเลียน/เรียนต่อแป๊บเดียวสามารถได้วิชาระดับเดียวกันมาได้ (ภาษานักลงทุนคือ Moat หรือคูเมืองป้องกันปราสาทเรา มันไม่ได้ข้ามยากเท่าที่คิด) จึงทำให้เกิดคำถามว่าวงการเอไอนี่ผู้นำได้เปรียบมากจริงไหม หากผู้ตามสามารถตามได้เร็วขนาดนี้และยังทำได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก แบบนี้มันยังคุ้มที่จะลงทุนพัฒนาเพื่อเป็นผู้นำ ‘บรรลุเคล็ดวิชาใหม่ๆ‘ ไหม เพราะผู้นำด้านเอไออาจถูกดิสรัปง่ายกว่าที่คิด
5.อนาคตของเอไอ. ในมุมผู้พัฒนาและลงทุนกับเอไอ คำถามเหล่านี้อาจทำให้ขนหัวลุก แต่ในมุมของผู้ใช้ พัฒนาการนี้ก็อาจมองในมุมบวกได้เช่นกัน
- ต้นทุนพัฒนาเอไอถูกลงทำให้ค่าบริการถูกลง คนเข้าถึงได้มากขึ้น
-เอไออาจสามารถใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยลง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขึ้น
-โมเดลแบบเปิดอาจทำให้คนเก่งๆทั่วโลก สามารถศึกษาและเอาไปพัฒนาต่อยอดได้ สร้างเอไอที่ตอบโจทย์และเหมาะกับบริบทของสังคมตนเอง
- การพัฒนาเอไออาจมีการแข่งขันมากขึ้น Generative AI กลายเป็น‘เทคโนโลยีโหลๆ’ขึ้น ผลักดันให้หลายเจ้าอาจต้องหามุมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แนวอื่นมากขึ้น คิดเรื่องแอพพลิเคชันมากขึ้น ไม่ใช่ทุ่มเงินสร้างมันสมองที่ฉลาดอย่างเดียว จึงอาจทำให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลายขึ้น
ในทางกลับกัน การที่แต่ละประเทศต่างแข่งกันสร้างสุดยอดเอไออาจทำให้ต่างลดความสำคัญด้านการกำกับดูแลความเสี่ยง ทำให้ยิ่งมีโอกาสเกิดเอไอแบบอันตรายต่อสังคมขึ้นหรือไม่
แน่นอนว่าเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ Deepseek อีกมากและก็เป็นไปได้ว่าต่อไปอาจมีการหักมุมจากผู้เล่นอื่นอีกที่ไม่ใช่ DeepSeek เลยก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็คิดว่า 5 ประเด็นนี้คือคำถามที่เราควรตั้งและช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิดกับเทคโนโลยีที่มีโอกาสเปลี่ยนโลกและกระทบเราทุกคนในอนาคตครับ
-/-/-/-//-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
ขอบคุณภาพจากรอยเตอร์
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1111151597690532&set=a.447295157409516&locale=th_TH
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี