29 ม.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว White House offers 2 million federal employees financial incentives to quit ระบุว่า ฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จากพรรครีพับลิกัน เปิดเผยเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2568 ว่า จะมีการเสนอแผนจูงใจเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายพลเรือน ในสังกัดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ลาออกโดยสมัครใจ จำนวน 2 ล้านคน
รอยเตอร์อ้างถึงอีเมลที่ถูกส่งถึงเจ้าหน้าที่รัฐในสหรัฐฯ ที่ระบุว่า “โครงการเลื่อนการลาออก” จะช่วยให้บุคลากรยังคงรับเงินเดือนได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2568 แต่ไม่ต้องทำงานในสถานที่จริง และอาจถูกลดหน้าที่หรือยกเลิกหน้าที่ในระหว่างนี้ โดยให้เวลาในการตัดสินใจถึงวันที่ 6 ก.พ. 2568 ซึ่งผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ สามารถตอบกลับอีเมลจากบัญชีของรัฐบาลและพิมพ์คำว่า "ลาออก" โดยข้อเสนอนี้ครอบคลุมถึงพนักงานพลเรือน ยกเว้นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการตรวจคนเข้าเมืองและความมั่นคงแห่งชาติ รวมถึงผู้ที่ทำงานให้กับสำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ
การเคลื่อนไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้เกิดขึ้นในขณะที่ทรัมป์ใช้ช่วงแรกๆ ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในการย่อ ยุบ และปรับโครงสร้างรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เพื่อให้สอดคล้องกับลำดับความสำคัญทางการเมืองของเขา ทั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายพลเรือนในสหรัฐฯ ประมาณ 2.3 ล้านคน ไม่รวมพนักงานไปรษณีย์ อนึ่ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงคิดเป็นส่วนใหญ่ของกำลังคนของรัฐบาลกลาง แต่ยังมีผู้คนอีกหลายแสนคนทั่วประเทศที่ทำงานในด้านการดูแลสุขภาพทหารผ่านศึก ตรวจสอบการเกษตร และชำระค่าใช้จ่ายของรัฐบาล รวมถึงงานอื่นๆ
สัดส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งคิดเป็นร้อยละของกำลังคนนอกภาคเกษตรทั้งหมด ปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 2 และมีแนวโน้มลดลงมาหลายทศวรรษแล้ว ทั้งนี้ อีเมลดังกล่าวระบุว่า ฝ่ายบริหารคาดหวังที่จะเห็นพนักงานที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากขึ้น และยังระบุด้วยว่า แม้กองทัพและหน่วยงานบางแห่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนพนักงาน แต่ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะลดขนาดลงผ่านการปรับโครงสร้างและเลิกจ้าง พร้อมกับคำเตือนว่า เจ้าหน้าที่รัฐของรัฐบาลกลางไม่สามารถรับประกันงานของพวกเขาได้
“ในเวลานี้ เราไม่สามารถให้คำมั่นสัญญาได้อย่างเต็มที่เกี่ยวกับความแน่นอนของตำแหน่งหรือหน่วยงานของคุณ แต่หากตำแหน่งของคุณถูกยกเลิก คุณจะได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรี การปฏิรูปพนักงานของรัฐบาลกลางจะมีความสำคัญมาก” ข้อความตอนหนึ่งในอีเมลซึ่งฝ่ายบริหารส่งถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ระบุ
ทิม เคน (Tim Kaine) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) รัฐเวอร์จิเนีย จากพรรคเดโดแครต กล่าวว่า นี่เป็น “ข้อเสนอปลอม” เนื่องจากทรัมป์ไม่มีอำนาจที่จะเสนอข้อเสนอนี้ และเจ้าหน้าที่ก็อาจไม่ได้รับเงินชดเชยตามที่สัญญาไว้
ณ ปัจจุบัน ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐกี่คนที่ยอมรับข้อเสนอนี้ และจะมีผลกระทบต่อต้นทุนหรือระดับบริการของรัฐบาลอย่างไร โดยสำนักข่าว NBC News อ้างถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลที่ประเมินว่า บุคลากรของรัฐบาลกลางร้อยละ 5-10 อาจลาออก ส่งผลให้ประหยัดงบประมาณได้ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่รอยเตอร์ไม่สามารถตรวจสอบได้
อีลอน มัสก์ (Elon Musk) มหาเศรษฐีที่ทรัมป์เลือกให้ดูแลความพยายามลดต้นทุนของรัฐบาล ตั้งเป้าที่จะลดรายจ่าย 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 70 ล้านล้านบาท) จากงบประมาณของรัฐบาลกลาง 6.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 238 ล้านล้านบาท) ในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็กล่าวว่ามีแนวโน้มว่าจะมีการตัดรายจ่ายในจำนวนที่น้อยกว่า
บุคลากรของรัฐบาลกลางจำนวนมากมีตัวแทนจากสหภาพแรงงานและได้รับการคุ้มครองการจ้างงานอย่างมีนัยสำคัญ มีบันทึกซึ่งระบุว่า รัฐบาลกลางมีแผนที่จะใช้การพักงานชั่วคราวและจัดประเภทพนักงานจำนวนมากใหม่เป็น "สถานะตามต้องการ" ซึ่งอนุญาตให้ผู้จ้างงานลดจำนวนพนักงานโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าหรือให้เหตุผล การจ้างออก (Buyout) จากรัฐบาลกลางโดยทั่วไปมีวงเงินสูงสุดที่ 25,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 8.75 แสนบาท)
บันทึกที่ไม่ได้ลงนามจากที่อยู่อีเมลใหม่ hr@opm.gov ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาโดยรัฐบาลทรัมป์ มีหัวข้อว่า "Fork in the road" ในปี 2565 ซึ่งมัสก์ส่งอีเมลถึงพนักงานของทวิตเตอร์โดยใช้หัวข้อเดียวกัน แต่ประเด็นนี้ ทำเนียบขาวไม่ได้ตอบกลับทันทีต่อคำขอแสดงความคิดเห็นทางอีเมล ขณะที่สหภาพพนักงานกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงานรัฐบาลกลางประมาณ 150,000 คน เตือนสมาชิกว่า อีเมลนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อล่อลวงหรือข่มขู่ให้ลาออก จึงขอแนะนำอย่างยิ่งว่าอย่าลาออกเพื่อตอบโต้
ในอีเมลแยกถึงหน่วยงานต่างๆ สำนักงานบริหารงานบุคคลทำเนียบขาวได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว โดยระบุว่าบุคลากรของรัฐบาลกลางที่เข้าร่วมโครงการควรได้รับการมอบหมายหน้าที่ใหม่หรือปลดออกจากงานโดยเร็ว และควรได้รับเงินลาออกจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาลาออกที่เลื่อนออกไป ทั้งนี้ บุคลากรของรัฐบาลกลางสามารถรับงานอื่นได้ และจะยังคงได้รับสิทธิประโยชน์จากการเกษียณอายุจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2568 หน่วยงานต่างๆ สามารถยกเว้นตำแหน่งบางตำแหน่งจากข้อเสนอได้
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ในช่วงวันแรกๆ ที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ได้สั่งการให้ปรับโครงสร้างหน่วยงานของรัฐและบังคับให้บุคลากรภาครัฐส่วนกลางกลับเข้าทำงาน หัวหน้าหน่วยงานของรัฐบาลกลางถูกขอให้ระบุบุคลากรที่อยู่ในช่วงทดลองงานหรือทำงานไม่ถึง 2 ปี เนื่องจากสามารถให้ออกได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ ทรัมป์ยังออกคำสั่งระงับการจ้างงานของรัฐบาลกลาง ยกเว้นงานในกองทัพ งานบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง งานด้านความมั่นคงแห่งชาติ และงานด้านความปลอดภัยสาธารณะ
ทรัมป์ยังลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่จะทำให้การเลิกจ้างบุคลากรของรัฐบาลกลางหลายพันคนออกง่ายขึ้นด้วยการจัดประเภทสถานะงานใหม่ ซึ่ง เอเวอเร็ตต์ เคลลีย์ (Everett Kelley) ประธานสหพันธ์พนักงานรัฐบาลอเมริกัน ออกแถลงการณ์ระบุว่า ท่ามกลางคำสั่งฝ่ายบริหารและนโยบายต่อต้านพนักงานจำนวนมาก เป็นที่ชัดเจนว่าเป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์คือการเปลี่ยนรัฐบาลกลางให้เป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ ซึ่งพนักงานไม่สามารถอยู่ได้แม้ว่าพวกเขาต้องการก็ตาม พร้อมกับเรียกร้องบุคลากรภาครัฐอย่างเพิ่งด่วนตัดสินใจ
ขอบคุณเรื่องจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี