รมว.แรงงาน เผย 5 แรงงานไทยที่ได้รับการปล่อยตัวปลอดภัย-สุขภาพจิตยังดี รมว.ต่างประเทศ เผยบัวแก้วไม่ทิ้ง เดินหน้าช่วยอีก 1 ตัวประกัน ที่ยังถูกจับ แม้จะยังยืนยันสถานะไม่ได้ พร้อมประสานนำร่าง2คนไทยกลับแผ่นดินแม่
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเจ้าหน้าที่อิสราเอลเปิดเผยว่า กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอล 3 ราย ตัวประกันชาวไทยอีก 5 รายจากฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 30 มกราคม หลังถูกจับเป็นตัวประกันตั้งแต่กลุ่มฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566
โดยแรงงานไทยทั้ง 5 รายได้รับการปล่อยตัวแล้ว ได้แก่ นายวัชระ ศรีอ้วน อายุ 32 ปี ชาวอุดรธานี นายพงษ์ศักดิ์ แทนนา อายุ 35 ปี ชาวบุรีรัมย์ นายเสถียร สุวรรณคำ อายุ 34 ปี ชาวหนองบัวลำภู นายสุระศักดิ์ ลำเนา อายุ 30 ปี ชาวอุดรธานี และ นายบรรณวัชร แซ่ท้าว ชาวจังหวัดน่าน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน กล่าวว่าได้รับรายงานจากอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟว่าแรงงานทั้งหมดได้รับการประเมินทางการแพทย์เบื้องต้นแล้ว ทุกคนปลอดภัยสุขภาพจิตยังดีอยู่ พูดคุยได้เป็นปกติ ซึ่งทางการอิสราเอลนำตัวทั้งหมดไปที่รพ. Shamir Medical Center (Assaf Harofe) โดยขอให้พักรักษาตัวอย่างน้อย 7 วัน
โดยกระทรวงแรงงานพร้อมดูแลสิทธิประโยชน์ที่แรงงานไทยทั้ง 5 คน จะได้รับหลังถูกปล่อยตัว อาทิ สิทธิประโยชน์จากสำนักงานประกันสังคม (สปส.), กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศจะได้รับเงินสงเคราะห์กรณีเดินทางกลับประเทศจากภัยสงคราม จากกรมการจัดหางาน (กกจ.) รวมถึงสั่งการหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานหรือ 5 เสือแรงงานในพื้นที่ภูมิลำเนาของแรงงานไทยที่ได้รับการปล่อยตัวทั้ง 5 คน ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบในอิสราเอลต่อไป
ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือกลุ่มคนไทยที่ถูกฮามาสจับกุมตัวซึ่งยังเหลืออีก 1 คนว่า เป็นนโยบายของนายกฯในการนำคนไทย ที่ตกทุกข์ได้ยากทุกรูปแบบกลับมาประเทศ ตนทำเรื่องนี้มากว่า 1 เดือน เมื่อวันที่ 30 มกราคม รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลก็โทรมาแสดงความยินดี และพูดกับตนว่า เรื่องนี้คุยกันมาเกือบเดือนแล้วดีใจที่มีผลเกิดขึ้น ฉะนั้นเรายังดำเนินการต่อไป
นายมาริษกล่าวต่อว่า ส่วนตัวประกันอีก 1 คนที่ยังเหลืออยู่และร่างของผู้เสียชีวิต 2 ศพนั้น ตนบอกไปว่าอยากได้กลับมาสู่ประเทศไทย แต่จากที่คุยกับทุกมิตรประเทศของเรา เขาไม่สามารถยืนยันสถานะของอีก 1 คนที่เหลืออยู่ได้ แต่ทุกคนแสดงความชัดเจนและยืนยันว่าจะช่วยค้นหาต่อไป ขอให้มั่นใจไม่ได้หยุดยั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าพอจะมีสัญญาณบวกหรือไม่ นายมาริษกล่าวว่า คนในพื้นที่ก็ยังไม่สามารถหาสถานะของบุคคลนี้ได้ แต่รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลได้พูดถึงชื่อของบุคคลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า เขาให้ความสำคัญ ไม่ได้ละเลยคำร้องของเรา บางครั้งเรื่องนี้ก็ต้องทำเงียบๆ แล้วจะได้ผลมากขึ้น ส่วนจะวางมาตรการป้องกันแรงงานไทยที่ไปทำงานยังประเทศอิสราเอลอย่างไร หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกนั้น นายมาริษกล่าวว่า ขอให้คนไทยอย่าเพิ่งเดินทางเข้าไป ถ้าจะเข้าไปทำงาน กรุณาอย่าเข้าไปในเขตพื้นที่เสี่ยงภัย ตนไปห้ามไม่ได้ก็ต้องพยายามเตือน เมื่อถึงจุดหนึ่งหากเกิดปัญหา กระทรวงต่างประเทศก็มีหน้าที่ดูแลคนไทยอยู่แล้ว
นายลพ ปินตา อายุ 84 ปี พ่อและคนในครอบครัวนายณัฐพงษ์ ปินตา หนุ่มแรงงานไทยหนึ่งเดียวที่ยังถูกจับเป็นตัวประกัน และยังไม่มีข่าวคราวการปล่อยตัว ยังคงนั่งรอคอยฟังข่าวด้วยความหวังที่บ้านพักใน ต.ร้องกวาง อ.ร้องกวาง จ.แพร่
ขณะที่ พี่สาวนายณัฐพงษ์กล่าวว่าน้องชายไปทำงานที่อิสราเอลนาน 1 ปี 4 เดือนแล้ว ก่อนขาดการติดต่อไป จนทราบว่าถูกจับเป็นตัวประกัน ล่าสุดทราบว่าเป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว ครอบครัวกังวลมาก เกรงน้องชายจะไม่ปลอดภัย ตอนนี้ยังคงรอฟังข่าวด้วยความหวังว่าน้องชายจะได้รับการปล่อยตัวเช่นเดียวกับ 5 แรงงานไทย
โดยทางครอบครัวได้ไปถามหมอดูหลายที่ตามความเชื่อ บอกตรงกันว่าน้องชายยังมีชีวิตอยู่ ทำให้มีความหวังมากขึ้นว่าจะมีปาฎิหาริย์ให้นายณัฐพงษ์กลับมา เพราะที่ผ่านมาน้องเป็นกำลังหลักในการดูแลครอบครัว ถ้าได้ปล่อยตัวกลับมาจะไม่ให้กลับไปทำงานที่อิสราเอลอีกแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี