31 ม.ค. 2568 สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ เสนอรายงานพิเศษ Shoplifters 'out of control' and becoming more brazen, say retailers ระบุว่า สมาคมผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร (BRC) ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่กว่า 200 ราย ได้เผยแพร่ผลสำรวจเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2568 พบว่า ในช่วง 12 เดือนก่อนเดือน ก.ย. 2567 เหตุลักทรัพย์ที่รายงานโดยผู้ค้าปลีกในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 3.7 ล้านเป็น 20.4 ล้านครั้ง และทำให้ผู้ค้าปลีกสูญเสียเงิน 2 พันล้านปอนด์ (ราว 8.4 หมื่นล้านบาท)
ตามข้อมูลของ BRC ความรุนแรงและการล่วงละเมิดต่อพนักงานร้านค้ายังเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 โดยมีรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเฉลี่ยมากกว่า 2,000 เหตุการณ์ต่อวัน ซึ่งการสำรวจนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างจากผู้ค้าปลีกที่มีพนักงานมากกว่า 1.1 ล้านคนและมีมูลค่าการซื้อขายในตลาดมากกว่า 194,000 ล้านปอนด์ (ราว 8.1 ล้านล้านบาท) ผลสำรวจนี้ยังสอดคล้องกับรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ที่เผยแพร่ในวันเดียว ซึ่งพบว่า เหตุลักทรัพย์ในร้านค้าที่รายงานโดยตำรวจในอังกฤษและเวลส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 23%เป็นมากกว่า 492,000 กรณีในช่วงเวลาเดียวกันของการสำรวจครั้งก่อน นอกจากนั้น ยังเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในปี 2546
อย่างไรก็ตาม ทอม โฮลเดอร์ (Tom Holder) โฆษกของ BRC กล่าวว่า ONS ประเมินปัญหาไว้ต่ำเกินไปมาก เนื่องจากรายงานดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะอาชญากรรมที่ตำรวจรายงานเท่านั้น ซึ่งหากสถิตินั้นเป็นความจริง ก็คงมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงปีละครั้งต่อร้านค้า แต่หากไปถามเจ้าของร้าน พวกเขาก็จะบอกว่าโชคดีมากหากวันใดวันหนึ่งไม่มีเหตุการณ์ลักขโมยเกิดขึ้น
ในบางกรณี การฉกฉวยสินค้าในร้านค้า ผู้ก่อเหตุยังกล้าทำต่อหน้าลูกค้าและพนักงาน อาทิ ในเดือน ธ.ค. 2567 ที่ร้านโทรศัพท์แห่งหนึ่งในถนนอ็อกซ์ฟอร์ดของกรุงลอนดอน มีชายสองคนใช้เวลาหลายนาทีในการเตะขาตั้งโทรศัพท์ต่อหน้าลูกค้าและพนักงานของร้าน เชื่อกันว่าขาตั้งโทรศัพท์ดังกล่าวมีโทรศัพท์ปลอมซึ่งอาจขายทางออนไลน์ให้กับลูกค้าที่ไม่สงสัย โดยหลอกให้เชื่อว่าลูกค้ากำลังซื้อของจริง ซึ่งตำรวจกรุงลอนดอน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์และดำเนินการค้นหาในพื้นที่ แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้ แม้ว่าจะสามารถจับภาพผู้ต้องสงสัยได้จากวิดีโอก็ตาม แต่ขณะนี้ได้เริ่มการสืบสวนแล้ว
เฮเลน ดิกกินสัน (Helen Dickinson) ซีอีโอของ BRC กล่าวว่า การลักขโมยในร้านค้ามักเกิดจากกลุ่มอาชญากรที่รวมตัวกันและคนร้ายที่ขโมยของตามใบสั่ง และที่คนกล้าก่อเหตุมากขึ้นเพราะไม่เห็นว่าจะต้องรับผลกรรมใดๆ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่น่าขุ่นเคืองและเกินการควบคุมในหลายพื้นที่ของประเทศ ขณะที่พนักงานร้านค้ามักได้รับคำแนะนำไม่ให้เข้าไปยุ่งเพราะเสี่ยงต่อการถูกทำร้าย ซึ่งสอดคล้องกับคลิปวีดีโอที่แชร์กันบนโลกออนไลน์ เต็มไปด้วยวิดีโอการลักขโมยในร้านค้า บางครั้งต่อหน้าพนักงานร้านค้าและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ดูเหมือนจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว
แอนดรูว์ กูดเอเคอร์ (Andrew Goodacre) สมาคมผู้ค้าปลีกอิสระแห่งสหราชอาณาจักร (BIRA) กล่าวว่า ตนไม่แปลกใจกับตัวเลขดังกล่าว เพราะความจริงอันเลวร้ายของเรื่องนี้คือ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้น ซึ่งสมาคมฯ ได้สนับสนุนให้สมาชิกแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หลายคนกลับไม่แจ้งเพราะที่ผ่านมาแจ้งไปแล้วก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ ดังนั้น ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างอาชญากรรมที่เกิดขึ้นและการแจ้งตำรวจ
อามิท ปันทัมเบการ์ (Amit Puntambekar) หนึ่งในเจ้าของร้านค้า เล่าว่า ตนเพิ่งถูกหญิงสาวคนหนึ่งต่อยเข้าที่ใบหน้า ซึ่งตนสงสัยว่าเธอขโมยบุหรี่ไฟฟ้ามูลค่า 75 ปอนด์ (ราว 3,100 บาท) จากร้านของเขาในแคมบริดจ์เชียร์เมื่อต้นปี 2568 ซึ่งตนเชื่อว่าจำนวนเหตุการณ์รุนแรงนั้นเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และทำให้คิดที่จะเลิกไปต่อกับธุรกิจที่ดำเนินกิจการมาในครอบครัวของตนมานานเกือบ 40 ปี
“ผมไม่อยากตายในที่ทำงาน เมื่อพนักงานของคุณถูกขู่ด้วยค้อน เมื่อมีคนขู่จะฆ่าคุณที่อาศัยอยู่ใกล้ร้านของคุณ และตำรวจไม่ถือสา แล้วจะมีประโยชน์อะไร” เจ้าของร้านรายนี้ กล่าว
ปันทัมเบการ์ เชื่อว่า อาชญากรคงเห็นว่ากฎหมายนั้นไม่เข้มงวดกับการลักขโมยในร้านค้า ดังนั้นผู้ต้องสงสัยจึงก่ออาชญากรรมต่อหน้าธารกำนัล ขณะที่ตำรวจเคมบริดจ์เชียร์กล่าวว่า เยาวชนหญิงวัย 17 ปีถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายและลักขโมยของจากร้านค้าทั่วไปหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว และจะถูกนำตัวส่งฟ้องต่อศาลในวันที่ 5 ก.พ. 2568
ไม่ต่างจากข้อมูลของ บริษัท Mitie ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสิ่งอำนวยความสะดวก จัดหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) 10,000 คนให้กับภาคค้าปลีกของสหราชอาณาจักร โดยระบุว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา มี รปภ. ร้อยละ 10 ได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่ง เจสัน ทาวส์ (Jason Towse) ผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัท ตั้งข้อสังเกตว่า การที่คนกล้าก่อเหตุประสงค์ต่อทรัพย์ในร้านค้ามากขึ้น เนื่องจากทรัพยากรของตำรวจนั้นมุ่งเน้นไปที่อาชญากรรมที่เป็นข่าวโด่งดัง
“ปัญหาหลักที่ผู้คนใช้วิธีการ ‘โจมตีแบบพลีชีพ’ คือเพื่อทำให้เพื่อนร่วมงานและพนักงานหวาดกลัว พวกเขารู้ด้วยว่าการตอบสนองของตำรวจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” ทาวส์ ระบุ ซึ่งการโจมตีแบบพลีชีพ หมายถึงการก่อเหตุแบบซึ่งๆ หน้า ไม่แอบซ่อนต่อสายตาของผู้คนในบริเวณนั้น
แม้ รปภ. จะไม่มีอำนาจมากไปกว่าพลเมืองคนอื่นๆ ในการจับกุมผู้ลักขโมยของในร้านค้า แต่ ทาวส์ กล่าวว่า พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาว่าควรระบุและตอบสนองต่อปัญหาอย่างไร พวกเขายังสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ป้องปรามที่มองเห็นได้ และแบ่งปันข้อมูลและหลักฐานกับตำรวจได้อีกด้วย
จากการสอบถามผู้ค้าปลีกใหญ่ 10 รายเกี่ยวกับนโยบายของพนักงานในการจัดการกับผู้ลักขโมยของที่ก่ออาชญากรรมรุนแรงหรือก้าวร้าว หลายรายระบุว่าความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น ติดตั้งกล้องวงจรปิด กล้องติดตัวพนักงาน และจ้าง รปภ. เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การลักขโมยของในร้านค้าทำให้ต้นทุนในการจับจ่ายซื้อของของครัวเรือนในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 133 ปอนด์ (ราว 5,600 บาท) ต่อปี ตามข้อมูลของศูนย์วิจัยการค้าปลีก
ในปี 2566 รัฐบาลอังกฤษได้เปิดตัวโครงการที่กำหนดแนวทางสำหรับตำรวจในการจัดการกับปัญหานี้ ซึ่งรวมถึงการจัดลำดับความสำคัญในการตอบสนองต่อเหตุการณ์รุนแรงหรือในกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำความผิด ยังมีการจัดตั้ง “โครงการเปกาซัส (Project Pegasus)” ซึ่งเป็นความร่วมมือในการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองระหว่างผู้ค้าปลีกและเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับแก๊งลักวิ่งชิงปล้นที่ประสงค์ต่อทรัพย์ในร้านค้า ตลอดจนผู้กระทำความผิดที่ก่อเหตุซ้ำ
คุณหญิง ไดอานา จอห์นสัน (Dame Diana Johnson) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการตำรวจ การดับเพลิงและป้องกันอาชญากรรมของอังกฤษ กล่าวถึงผลสำรวจของ BRC ว่า การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมในร้านค้านั้นไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง พร้อมกับย้ำคำมั่นสัญญาของรัฐบาลที่จะนำการกระทำผิดเฉพาะใหม่มาใช้กับผู้ที่ทำร้ายพนักงานค้าปลีก ซึ่งเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมค้าปลีกเรียกร้องมาตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งทาง BRC อธิบายว่า การทำแบบนี้จะช่วยชี้แจงขนาดของปัญหาและทำให้สามารถรวบรวมสถิติได้
รายงานข่าวทิ้งท้ายด้วยความเห็นของ เฮเลน ดิกกินสัน ซีอีโอของ BRC ที่กล่าวว่า สถิติที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ของอาชญากรรมที่เกิดกับร้านค้าควรทำหน้าที่เป็นการเตือนสติให้กับทั้งรัฐบาลและตำรวจ ซึ่งความกลัวต่อผลที่ตามมาไม่มีอยู่จริง และตนคิดว่านั่นเป็นสาเหตุที่เราต้องเห็นทรัพยากรและความสนใจจากตำรวจมากขึ้น ขณะที่ เจสัน ทาวส์ ผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัท รปภ. Mitie กล่าวว่า ยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก แต่คิดว่าขั้นตอนต่างๆ ที่ดำเนินการในอุตสาหกรรมกำลังเริ่มก่อให้เกิดผลลัพธ์
“ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกหัวขโมยเริ่มเห็นระดับของผลที่ตามมามากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าที่เราเห็นในปัจจุบัน นั่นจะเปลี่ยนแปลงกระแสได้อย่างแท้จริง" ทาวส์ กล่าวในตอนท้าย
ขอบคุณเรื่องและภาพจาก BBC
https://www.bbc.com/news/articles/cp82jvd3g54o
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี