14 มี.ค. 2568 นสพ.The Guardian ของอังกฤษ Donald Trump threatens 200% tariff on EU wine and champagne ระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ Truth Social เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2568 ขู่จะขึ้นภาษีไวน์และแชมเปญซึ่งนำเข้าจากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ในอัตราร้อยละ 200 เพื่อตอบโต้กรณี EU เตรียมเก็บภาษีวิสกี้และเบอร์เบินจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงถึงร้อยละ 50 ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2568 หลังจากที่มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจาก EU โดยสหรัฐฯ ที่เพิ่งมีผลไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2568 เป็นต้นมา
ทรัมป์อ้างว่าคู่ค้าของสหรัฐฯ ฉกฉวยโอกาสจากสหรัฐฯ และเชื่อมั่นว่ามาตรการกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจะช่วยดึงแหล่งงานกลับมาสู่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักส่วนใหญ่ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง โดยที่สหรัฐฯ เริ่มดำเนินการไปแล้วทั้งกับ EU แคนาดา เม็กซิโก และจีน รวมถึงที่ประเทศเหล่านั้นทำกลับบ้างเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ อาจทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ทรัมป์เชื่อว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านในขณะที่ธุรกิจต่างๆ เริ่มผลิตสินค้าในสหรัฐฯ มากขึ้น
จนถึงขณะนี้ทำเนียบขาวไม่ได้แสดงความกังวลของนักลงทุน หลังจากที่การประกาศขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์ถูกตอบรับด้วยการเทขายหุ้นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2567 หายไปหมด อนึ่ง แม้จะเป็นฝ่ายเริ่มสงครามการค้า แต่ทรัมป์ดูเหมือนจะโกรธแค้นต่อมาตรการตอบโต้ของ EU เห็นได้จากการใช้ถ้อยคำของทรัมป์ ที่บอกว่า หากไม่ยกเลิกภาษีนำเข้าในทันที ในไม่ช้าสหรัฐฯ จะจัดเก็บภาษี 200% สำหรับไวน์ แชมเปญ และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ทั้งหมดที่ออกจากฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆ ที่เป็นตัวแทนของ EU ซึ่งนี่จะเป็นเรื่องดีสำหรับธุรกิจไวน์และแชมเปญในสหรัฐฯ
สหรัฐฯ หลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้าที่ได้รับการคุ้มครองทางภูมิศาสตร์สำหรับผลิตภัณฑ์ของยุโรปอยู่แล้ว โดยซูเปอร์มาร์เก็ตเต็มไปด้วยแชมเปญเลียนแบบและอาหารอันโอชะอื่นๆ เช่น พาร์เมซานและกอร์กอนโซลา ที่ผลิตในสหรัฐฯ ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงในยุโรปให้คำมั่นว่าจะยืนหยัดต่อไป อาทิ โลรองต์ แซงต์-มาร์แตง (Laurent Saint-Martin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศของฝรั่งเศส โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า เราจะไม่ยอมจำนนต่อภัยคุกคาม โดนัลด์ ทรัมป์กำลังยกระดับสงครามการค้าที่เขาเลือกที่จะก่อขึ้น ซึ่งฝรั่งเศสตั้งใจที่จะตอบโต้ และจะปกป้องภาคส่วนของเราเสมอ
ในฝรั่งเศส ผู้ผลิตไวน์อิสระคิดเป็นร้อยละ 60 ของการผลิตไวน์ของประเทศ พวกเขากำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อดูว่าข้อพิพาทจะดำเนินไปอย่างไร อาทิ ฌอง-มารี ฟาเบร (Jean-Marie Fabre) ผู้ผลิตไวน์ในฟิตูทางตอนใต้ของฝรั่งเศส กล่าวว่า เราใช้ความรอบคอบมากในขั้นตอนนี้ โดยผู้ผลิตไวน์ฝรั่งเศสกังวลว่าอาจถูกกวาดล้างด้วยกำแพงภาษีที่กว้างขึ้น และกลัวมาตรการตอบโต้เมื่อ EU ตั้งกำแพงภาษีตอบโต้ต่อผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ บางอย่าง รวมถึงวิสกี้ของสหรัฐฯ
“อุตสาหกรรมไวน์ทั้งหมดได้ผ่านพ้นวิกฤติต่างๆ มากมาย ซึ่งได้ทดสอบเรามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโควิด เงินเฟ้อ สงครามในยูเครน และปัญหาสภาพอากาศ “ผู้ผลิตไวน์ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ผลิตไวน์รายย่อย พบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบาง” ฟาเบร ระบุ
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงในวันที่ 13 มี.ค. 2568 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า ดัชนี Cac 40 ของฝรั่งเศสปิดตลาดลดลงร้อยละ 0.3 ขณะที่ดัชนี Dax ของเยอรมนีปิดตลาดลดลงร้อยละ 0.6 ขณะที่ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มชั้นนำของยุโรปตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน หุ้นของ Pernod Ricard ร่วงลงเกือบร้อยละ 4 และ Rémy Cointreau ร่วงลงร้อยละ 3.5 LVMH เจ้าของ Moët & Chandon ร่วงลงร้อยละ 1.4
ในสหรัฐฯ ก็ไม่ต่างกัน ที่นิวยอร์ก ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงร่วงลงร้อยละ 0.7 หลังจากวอลล์สตรีทเปิดทำการซื้อขาย แต่คนในรัฐบาลของทรัมป์พยายามปัดเป่าการตกต่ำของตลาดหุ้นที่กินเวลานานหลายวัน โดยอ้างว่าพวกเขาไม่กังวลเรื่องนี้ อาทิ สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า ตนมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจจริง และไม่กังวลเกี่ยวกับความผันผวนเล็กน้อยในช่วง 3 สัปดาห์นี้ เช่นเดียวกับ เจดี แวนซ์ (JD Vance) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า เราไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่ยังเชื่อในความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทรัมป์ยังกล่าวซ้ำถึงคำวิจารณ์ EU ที่ยาวนานว่ากลุ่มการค้าก่อตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์เดียวในการเอาเปรียบสหรัฐฯ โดยเรียกกลุ่มนี้ว่าเป็นหนึ่งในหน่วยงานด้านภาษีและการจัดเก็บภาษีที่เป็นปฏิปักษ์และละเมิดสิทธิมากที่สุดในโลก ขณะที่ อูร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของ EU กล่าวเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2568 ว่า การค้าระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและความปลอดภัยให้กับผู้คนหลายล้านคน และการค้าได้สร้างงานหลายล้านตำแหน่งทั้งสองฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติก
ขอบคุณเรื่องจาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี