สหรัฐฯผสมโรง
เข้มงวดการออกวีซ่าจนท.ไทย
ไม่พอใจส่ง‘อุยกูร์’ไปให้จีน
สหรัฐอเมริกาผสมโรง หลังรัฐสภายุโรปลงมติประณามไทย กรณีส่ง “อุยกูร์” กลับจีน โดยประกาศนโยบายเข้มงวดการออกวีซ่าให้แก่เจ้าหน้าที่ไทยทั้งอดีตและปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับการส่งชาวอุยกูร์40 คน จากไทยไปจีน ด้านผู้ช่วยรัฐมนตรีบัวแก้ว ยันไทยทำถูกต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชน เท้ง-ผู้นำฝ่ายค้านห่วงภาพลักษณ์ไทยเสียหาย
เว็บไซต์สถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทยเผยแพร่แถลงการณ์ของนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ
วันที่ 14 มีนาคม 2568 มีเนื้อความดังนี้วันนี้ ผมขอประกาศนโยบายการจำกัดการออกวีซ่าใหม่ที่จะมีผลกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติในปัจจุบันหรือในอดีตที่รับผิดชอบหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการบังคับส่งกลับชาวอุยกูร์หรือสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์หรือศาสนาอื่นที่มีปัญหาการคุ้มครองไปยังจีน เรามุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับความพยายามของจีนในการกดดันรัฐบาลต่าง ๆ ให้ส่งชาวอุยกูร์และกลุ่มอื่น ๆ กลับไปยังจีน ซึ่งพวกเขาจะถูกทรมานและถูกบังคับให้หายตัว
เข้มงวด40เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย
ผมจะดำเนินการนโยบายนี้ทันทีโดยการดำเนินการขั้นตอนเพื่อกำหนดข้อจำกัดในการออกวีซ่าสำหรับเจ้าหน้าที่ในปัจจุบันและในอดีตจากรัฐบาลไทยที่รับผิดชอบหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการบังคับส่งกลับชาวอุยกูร์ 40 คนจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์
ในแง่ของการกระทำฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่จีนได้กระทำต่อชาวอุยกูร์อย่างยาวนาน เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกไม่บังคับส่งชาวอุยกูร์และกลุ่มอื่นๆ กลับไปยังจีน
นโยบายการจำกัดวีซ่านี้อยู่ภายใต้มาตรา 212(a)(3)(C) ของกฎหมายการเข้าเมืองและสัญชาติ ซึ่งอนุญาตให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจำกัดวีซ่าสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติในปัจจุบันหรือในอดีตที่รับผิดชอบหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งชาวอุยกูร์หรือสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์หรือศาสนาอื่นที่มีปัญหาการคุ้มครองกลับไปยังจีน บุคคลในครอบครัวบางคนของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำเหล่านี้อาจถูกบังคับให้ตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ด้วยเช่นกัน.
“บัวแก้ว”ยันทำถูกต้อง
นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นถึงกรณีที่สหรัฐอเมริการะงับวีซ่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย-ครอบครัว เกี่ยวพันส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีนว่า
เอาข่าวที่สหรัฐฯ ประกาศตอบโต้ไทย เรื่องคนจีนอุยกร์ด้วยมาตราการวีซ่าสำหรับ จนท.รัฐมาให้ดูครับ ปฏิกิริยาในช่องคอมเม้นท์น่าจะเป็นเอกฉันท์ว่า คนส่วนใหญ่รู้สึกอย่างไรกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่หลายคนกังขาว่า เอาอะไรไปว่าคนอื่น
ส่วนในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า ใครที่สะใจเรื่องนี้ น่าจะไม่ได้สนใจ เคารพหลักการสิทธิมนุษยชนจริง เมื่อเทียบกับสิ่งที่สหรัฐฯทำในเรื่องนี้และเมื่อเทียบกับสิ่งที่สหรัฐทำกับแคนาดา ที่เป็นมิตรสนิทดีที่สุดในโลกของสหรัฐเองแล้ว ผมว่ามันก็ไม่แปลกนัก
ยึดหลักมนุษย์ธรรม
และขอยืนยันว่า ในแง่มนุษยธรรม สิ่งที่รัฐบาลไทยตัดสินใจในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สำหรับบางคนที่อ่านไม่เข้าใจ ที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาลสหรัฐในเรื่องนี้ ไม่ใช่ผม แต่น่าจะคือคนอเมริกันด้วยกันเองนะครับ
ผมก็บอกแล้วว่าเราตัดสินใจเรื่องนี้บนหลักการมนุษยธรรม เพราะเราไม่อยากขังเขาต่อไป โดยจีนมีหนังสือให้คำรับรองเป็นทางการต่อสวัสดิภาพของคนเหล่านี้แล้ว ซึ่งไทยก็ต้องถือตามนั้น ไม่สามารถจะไปบอกว่าเราไม่เชื่อคำพูดของเขาได้
เรื่องนี้ไม่ว่าตัดสินใจอย่างไรก็ต้องมีผลกระทบตามมาต่อไทยทั้งนั้น นอกจากจะเลือกขังพวกเขาต่อไปจนตายคาคุก ซึ่งรัฐบาลนี้ไม่ต้องการทำอะไรที่ไร้มนุษยธรรมแบบนั้นครับ
“กัณวีร์”ชี้น่าเป็นห่วง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการจำกัดและควบคุมด้านวีซ่า ต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่มีความเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม กับกระบวนการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คน กลับไปยังจีน
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ข้อความว่า
“Travel Ban ของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อผู้บริหารไทย ซึ่งน่าจะรวมถึงนักการเมืองและข้าราชการไทยที่เกี่ยวข้องกับการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 ชีวิตกลับจีนเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 68 คืออีก 1 การตอบสนองจากต่างประเทศต่อการตัดสินใจที่ไร้ซึ่งจุดยืนทางการทูตตามหลักสากลของไทย
สหรัฐฯ คืออีก 1 ประเทศต่อจากสหภาพรัฐสภายุโรปที่ออกมาตรการคว่ำบาตรต่อไทยในการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 คน กลับจีน
กระทบการเมืองภาพใหญ่
นโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่าของสหรัฐฯ นี้เป็นตามมาตรา 212(a)(3)(C) แห่งรัฐบัญญัติตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติของสหรัฐฯ (Immigration and Nationality Act) จำกัดเกี่ยวกับวีซ่ากับเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันหรือในอดีต ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันชาวอุยกูร์หรือชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือศาสนากลุ่มอื่นที่อาจไม่ได้รับความคุ้มครองกลับประเทศจีน ซึ่งอาจรวมถึงสมาชิกครอบครัวของเจ้าหน้าที่ต่างชาตินี้ด้วย
ที่เคยเสนอไปครับประเด็นอุยกูร์นี้คือประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ มันจะกระทบการเมืองภาพใหญ่จริงๆ หากไทยเราไม่มีจุดยืนทางการทูตตามมาตรฐานสากล จริงๆ เราไม่ต้องเลือกข้างหรอกครับว่าจะเข้าข้างประเทศใดอย่างออกหน้าออกตา เราเลือกได้ครับ ยึดมั่นในหลักการสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม มันจะเป็นเกราะป้องกันเราเอง !!
มาตรการจำกัดการเข้าประเทศนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออก เคยออกเมื่อช่วงสงครามเย็นและ 9/11 ต่อเจ้าหน้าที่รัฐของต่างชาติที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง รมว.กต.สหรัฐฯ สามารถปฏิเสธการเข้าประเทศของบุคคลได้ หากเห็นว่าการเดินทางเข้าหรือกิจกรรมที่วางแผนไว้ของบุคคลนั้นอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อการต่างประเทศของสหรัฐฯ อย่างร้ายแรง
อีกอย่าง โดยส่วนใหญ่ travel ban นี้ มีแต่กลุ่มก่อการร้าย กองกำลังชนกลุ่มน้อยหัวรุนแรง และ จนท.รัฐเผด็จการต่างๆ และตอนนี้ผู้บริหารรัฐบาลและข้าราชการของไทย โดนลด teir ไปอยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว รอดูต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปครับ
แม้วแนะเคลียร์สหภาพยุโรป
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สหภาพยุโรป (EU) ประณามการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และเตรียมออกมาตรการการกดดันทางการค้า ว่า เรื่องนี้ต้องอธิบาย และเชิญทูต EU มาคุย ว่าไทยได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์นี้มา 10 ปีแล้ว เพราะเข้าเมืองผิดกฎหมาย และขังไว้กว่า 10 ปี มันไม่ทารุณไปหรือและ 10 ปีนี้ไม่เคยมีประเทศไหนมาขอชาวอุยกูร์ไปเลย ดังนั้น 10 ปีนี้ รู้สึกว่าเราต้องส่งเขากลับบ้านได้แล้ว ประเทศจีนก็แสดงเจตจำนงชัดเจน และยืนยันว่าจะไม่ดำเนินคดีกับคนเหล่านี้ เพราะเขาโดนมาเยอะแล้ว ก็ให้เขากลับบ้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นช่องทางเดียวที่จะแก้ปัญหา สิทธิมนุษยชนที่เราละเมิดมานาน
เมื่อถามว่ามาตรการกดดันเหล่านี้ จะกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มี คุยกันได้มีอะไรต้องอธิบาย มนุษย์มันต้องพูดกัน ถ้าไม่พูดกันมันก็จินตนาการไปไม่ดี ก็เหมือนขาประจำตนเอง ที่ไม่มีใครมาคุยกับตนก็จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย ตนเองเป็นห่วงเขา ตัวเขาไม่สบาย มาคุยกับตนดีกว่า จิตใจจะได้ร่มเย็น
เท้งเป็นห่วงภาพลักษณ์ไทย
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกา ประกาศคว่ำบาตรจำกัดวีซ่าจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่ง 40 ชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนว่า สิ่งที่พวกเราเรียกร้องมาโดยตลอดคือการดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลที่ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ ไม่ควรใช้นโยบายต่างประเทศที่เป็นไผ่ลู่ลม และควรจะต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชนสากล รัฐบาลต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใด ภายใต้ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ 2 มหาอำนาจแข่งขันกันอยู่ การดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด หากตั้งอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง ไม่ว่าฝ่ายใดก็จะลงโทษหรือต่อว่าประเทศไทยไม่ได้
เมื่อถามว่าการจำกัดวีซ่าในระดับเจ้าหน้าที่รัฐบาล อาจหมายถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ด้วยจะทำให้ประเทศไทยมีความเสียหายอย่างไรบ้าง นายณัฐพงษ์ ระบุว่า อยู่ที่การดำเนินงานของสหรัฐอเมริกา ตนเองไม่อยากเห็นภาพรวมของประเทศได้รับความเสียหาย ขณะเดียวกันถ้าไปถึงจุดนั้นจริงๆ อยู่ที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะต้องใช้ความพยายามในการแก้ไข
ย้ำสหภาพยุโรคยึดหลักการ
ส่วนที่นายทักษิณแนะนำให้เชิญทูตอียูมาพูดคุยเรื่องนี้โดยตรงเพื่อทำความเข้าใจนั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สหภาพยุโรปมีความชัดเจนเรื่องหลักการสิทธิมนุษยชนสากล เขาคงไม่ยอมเสียหลักการ แม้เราจะเรียกมา เจรจาแต่รัฐสภายุโรปมีมติแล้วว่าไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของประเทศไทย เรื่องนี้อย่าเพิ่งจะใช้วิธีการเจรจาหลังบ้าน แต่สิ่งที่ไทยควรทำคือการแสดงออกหน้าบ้านอย่างชัดเจนว่าเคารพในหลักการสิทธิมนุษยชนสากล
ส่วนในอดีตสหรัฐอเมริกาเคยใช้มาตรการนี้กับรัฐบาลเผด็จการและผู้ก่อการร้ายจะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะไม่อยากให้ประเทศไทยเสียหายไปมากกว่านี้ ก่อนที่จะพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจเพื่อดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนในต่างประเทศ ก็หนีไม่พ้นเรื่องดัชนีตัวชี้วัดเรื่องความเป็นประชาธิปไตยมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของชาวโลก
ทั้งนี้ ที่รัฐบาลไทยเตรียมพาคณะไปเยือนจีน เพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ของคนอุยกูร์ สิ่งสำคัญคือต้องไม่ตกเป็นกระบวนการฟอกขาว ทำให้นานาชาติเชื่อมั่นว่าการไปจีนมีความอิสระอย่างแท้จริง ตัวแทนที่ไปไม่ได้มีจากฝั่งรัฐบาลไทยอย่างเดียว แต่สามารถเชิญตัวแทนจากนานาชาติไปด้วย และคนที่เข้าไปดูกระบวนการภายในจีนต้องมีอิสระ ไปดูส่วนไหนก็ได้ หรือพบใครก็ได้ โดยไม่ได้ถูกจบจำกัดโดยรัฐบาลจีน ซึ่งจะเป็นกระบวนการที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ แต่หากปิดกั้นตัวแทนที่ไปร่วม ไม่ได้เป็นที่ยอมรับจากนานาชาติก็อาจจะถูกตั้งข้อสงสัยได้อยู่ดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี