15 มี.ค. 2568 สำนักข่าว VnExpress International ของเวียดนาม เสนอรายงานพิเศษ No guests, no banquet: Why Vietnamese couples are choosing ‘runaway’ weddings ว่าด้วยคู่รักหนุ่ม – สาวรุ่นใหม่ในเวียดนาม เลือกที่จะแต่งงานแบบไม่จัดพิธีอย่างใหญ่โตหรูหรา หรือที่มีศัพท์ว่า “แต่งแบบหนีตามกัน (Elopement Wedding)” ซึ่งกระแสนี้เริ่มต้นในโลกตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาหรือประเทศในทวีปยุโรป ก่อนจะเริ่มได้รับความนิยมในเวียดนาม
ผู้ให้บริการวางแผนจัดงานแต่งงานในเวียดนาม ตั้งข้อสังเกตว่า การแต่งงานในรูปแบบนี้เริ่มพบในเวียดนามมากขึ้นตั้งแต่ปี 2561 โดยช่วงแรกๆ เป็นการแต่งงานระหว่างชาวเวียดนามกับชาวต่างชาติ แต่ล่าสุดในปี 2567 ที่ผ่านมา พบในคู่รักที่เป็นชาวเวียดนามด้วยกันเพิ่มขึ้น 2 – 3 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น โดย Nguyen Hieu จาก Hanabira Wedding กล่าวว่า คู่รักมักอ้างถึงความเครียดและต้องการความเป็นส่วนตัวและประสบการณ์ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวเป็นแรงจูงใจหลัก อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
การจัดงานแต่งงานแบบดั้งเดิมของเวียดนามอาจมีค่าใช้จ่ายหลายร้อยล้านดอง (100 ล้านดอง = 3,920 เหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1.3 แสนบาท) หรืออาจสูงถึงพันล้านดอง ในขณะที่งานแต่งงานแบบหนีตามกันมักจะมีค่าใช้จ่ายเทียบเท่ากับการไปท่องเที่ยวพักผ่อน มักจัดในสถานที่ที่มีทัศนียภาพสวยงาม เช่น น้ำตก ริมแม่น้ำ หรือยอดเขา โดยให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากกว่าความยิ่งใหญ่ของพิธีการ
หลังจากใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมาสามปี Thu Sam และแฟนหนุ่มของเธอก็เตรียมชุดแต่งงานและชุดสูทไปอินเดียเพื่อจัดงานแต่งงานโดยไม่มีญาติพี่น้องหรือแขกเหรื่อไปด้วย ซึ่งหญิงวัย 35 ปี ชาวกรุงฮานอย อธิบายว่า งานแต่งงานแบบดั้งเดิมต้องใช้เวลาหลายเดือนหรืออาจถึงหนึ่งปีในการวางแผนอย่างพิถีพิถัน ซึ่งดูแล้วคงต้องเหนื่อยและมีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งคงโดนวิจารณ์แน่ๆ หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น
ทั้งคู่ตั้งใจแน่วแน่ที่จะจัดพิธีแบบเล็กๆ จึงตัดสินใจแต่งงานในสถานที่ห่างไกล โดยเก็บวันที่และรายละเอียดต่างๆ ไว้เป็นความลับ โดยบ่าว – สาว กล่าวคำปฏิญาณตนบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในลาดักห์ ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่ใฝ่ฝันมานานว่าจะได้ไปเยือน เมื่อคืนก่อน ทั้งคู่พักในห้องแยกกันและเก็บชุดไว้เป็นเซอร์ไพรส์ให้กันและกัน ซึ่งฝ่ายหญิงกล่าวว่า ตนอยากสัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึกในช่วงเวลาครั้งหนึ่งในชีวิตนี้ และดื่มด่ำกับความศักดิ์สิทธิ์ของการเป็นสามี - ภรรยา
ขณะที่ฝ่ายชายอย่าง Quang Minh วัย 33 ปี กล่าวว่า ภาพถ่ายในวันนั้นเป็นรูปงานแต่งงานของเรา ซึ่งเราจัดพิธีส่วนตัวที่สะท้อนให้เห็นว่าเราเป็นใคร เรียบง่าย อบอุ่น และไม่ฟุ่มเฟือย ทั้งนี้ งานแต่งของทั้งคู่ไม่มีไม่มีการจัดโต๊ะเลี้ยงอาหารใหญ่โตหรือการตกแต่งที่วิจิตรบรรจง มีเพียงผู้ประกอบพิธีและช่างภาพที่ยืนอยู่ห่างๆ เมื่อผู้ประกอบพิธีประกาศแต่งงานแล้ว ทั้งคู่ก็กล่าวคำปฏิญาณและแลกแหวนกัน
Minh Ngoc สาวเวียดนามวัย 25 ปี กล่าวว่า ตนกับ คาร์ล (Karl) แฟนหนุ่มชาวฝรั่งเศส ตัดสินใจใช้งบประมาณเพียง 50 ล้านดอง (ราว 67,000 บาท) ในการจัดงานแต่งแบบลับๆ บนเกาะฟูก๊วก สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม เพราะเข้าใจความกังวลของฝ่ายชาย เนื่องจากคาร์ลตกใจมากเมื่อได้รับรู้ว่า การจัดพิธีแต่งงานตามประเพณีดั้งเดิมของเวียดนาม เจ้าบ่าวจะต้องให้ความบันเทิงและดื่มเครื่องดื่มกับแขกหลายร้อยหรือบางครั้งหลายพันคน จึงเลือกจัดงานเล็กๆ แบบเป็นส่วนตัว เพียงได้ยินฝ่ายชายอ่านคำสาบานเป็นภาษาเวียดนามในบรรยากาศริมทะเลก็มีความสุขแล้ว
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า แต่อีกด้านหนึ่ง หนุ่ม – สาว หลายคู่ที่เลือกจัดงานแต่งแบบนี้ ก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายเสมอไป อาทิ Minh หนุ่มช่างภาพผู้ก่อตั้ง Mer Wedding Photography ซึ่งใช้เวลากว่า 5 ปีในการตระเวนถ่ายภาพการแต่งงาน เล่าว่า คู่รักหลายคู่ยินดีจ่ายเงินหลายร้อยล้านดองเพื่อสร้างประสบการณ์งานแต่งงานส่วนตัวที่ไม่เหมือนใครควบคู่ไปกับฮันนีมูน บางคู่เลือกสถานที่สุดขั้ว เช่น ยอดเขาสูงชัน เพื่อประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม ซึ่งการขนย้ายอุปกรณ์และรับรองว่าจะถ่ายภาพได้สมบูรณ์แบบในสถานที่เหล่านี้เป็นความท้าทายเสมอ
รศ.Pham Ngoc Trung อดีตคณบดีคณะวัฒนธรรมและการพัฒนา สถาบันวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (Academy of Journalism and Communication) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในกรุงฮานอย ให้ความเห็นว่า กระแสดังกล่าวเป็นผลตามธรรมชาติจากการบูรณาการระดับโลก ซึ่งส่งผลต่อประเพณีการแต่งงานในเวียดนาม ซึ่งรูปแบบการแต่งงานแบบหนีตามกันมักดึงดูดบุคคลที่เห็นคุณค่าของอิสรภาพและไม่ชอบภาระผูกพัน
“หลายคนมองว่างานแต่งงานแบบดั้งเดิมเป็นภาระทางการเงิน โดยคู่รักต้องเป็นหนี้เพื่อจัดงานเลี้ยงใหญ่และรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมด้วยการเข้าร่วมงานแต่งงานแบบตอบแทน แต่ก็ต้องเตือนเหมือนกันว่างานแต่งงานแบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อประเพณีวัฒนธรรมและทำให้ความผูกพันในครอบครัวอ่อนแอลง ซึ่งเราควรบูรณาการประเพณีใหม่ แต่ไม่ควรละทิ้งประเพณีทั้งหมด” นักวิชาการผู้นี้ กล่าว
รายงานของสื่อเวียดนาม ทิ้งท้ายด้วยการกลับไปที่ความเห็นของ Thu Sam ซึ่งเธอเห็นด้วยกับ รศ.Pham Ngoc Trung โดยเล่าว่า ก่อนจัดพิธีแต่งงานแบบเรียบง่ายกับแฟนหนุ่ม พวกตนได้จัดพิธีหมั้นแบบประเพณีดั้งเดิม ซึ่งพ่อแม่ของตนก็ให้ตนได้มีอิสระในการตัดสินใจ และสำหรับพวกเขาแล้วความสุขของตนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยหลังจากปฏิบัติตามภาระหน้าที่ในครอบครัวแล้ว ตนกับแฟนหนุ่มก็เลือกวันที่และสถานที่จัดงานแต่งงานเป็นการส่วนตัว
ขณะที่ Minh Ngoc เล่าว่า ตนใช้เวลาถึง 1 ปี กว่าจะโน้มน้าวพ่อแม่ของตนได้ ซึ่งในตอนแรกพวกเขากังวลว่าญาติๆ จะตอบสนองอย่างไร เนื่องจากทั้งคู่วางแผนแค่การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ ในครอบครัวแทนที่จะจัดงานแต่งงานใหญ่โต อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพวกเขาก็ตกลงเมื่อเห็นความจริงใจของคาร์ล และเข้าใจถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่แฟนหนุ่มชาวเมืองน้ำหอมต้องมาเผชิญ
“หลังจากโพสต์รูปถ่ายงานแต่งงานของเรา เพื่อนๆ หลายคนก็ประหลาดใจกับงานฉลองแบบเงียบๆ ของเรา แต่เมื่อฉันอธิบายให้ฟังแล้ว พวกเขาก็ให้พร” สาวเวียดนามรายนี้ กล่าวในตอนท้าย
ขอบคุณเรื่องจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี