‘จีน-ไทย’แค่นี้ไม่พอ! สื่อสิงคโปร์แพร่บทวิเคราะห์ ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ปราบไม่สิ้นซากหากทั้งโลกไม่ร่วมมือ
20 มี.ค. 2568 สถานีโทรทัศน์ Channel News Asia ของสิงคโปร์ เสนอรายงานพิเศษ Southeast Asia’s rampant scam industry still morphing, adapting despite Beijing flexing its muscle ระบุว่า การปราบปรามอาชญากรรมการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม หรือ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" ที่มีฐานปฏิบัติการในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยมีชาติมหาอำนาจอย่างจีนเข้าไปประสานกับประเทศที่เป็นฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงประเทศไทยที่มีพรมแดนติดกับประเทศเหล่านั้นให้เปิดปฏิบัติการกดดันและกวาดล้าง ไม่เพียงพอที่จะจัดการให้สิ้นซากไปได้
องค์กรอาชญากรรมประเภทหลอกลวงทางโทรคมนาคม ส่วนใหญ่มี “บอส” หรือแกนนำเป็นชาวจีนซึ่งมาตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้านของไทย ทั้งเมียนมา ลาวและกัมพูชา แก๊งเหล่านี้ว่ากันว่าทำรายได้มากถึงหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี จากแรงงานทาสที่ถูกล่อลวงมาจากทุกมุมโลก ด้วยโฆษณาชวนเชื่อ “งานสบายรายได้ดี” ซึ่งส่วนใหญ่อ้างว่าเป็นงานเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต
แต่เมื่อมาถึงกลับถูกบังคับให้ใช้กลอุบายออนไลน์ต่างๆ ตั้งแต่โครงการอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงการหลอกลวงทางแอปพลิเคชั่นสนทนาอย่าง WhatsApp และแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook และการหลอกให้รักแล้วพัฒนาเป็นแผนการลงทุนปลอม แรงงานทาสเหล่านี้ถูกควบคุมตัวอยู่ในบริเวณที่ซับซ้อนซึ่งดำเนินการทั้งในพื้นที่ป่าดงดิบที่ไร้กฎหมายและในใจกลางเมืองในภูมิภาค
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ภายใต้แรงกดดันจากจีน ประเทศไทยได้เพิ่มความพยายามในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตัดกระแสไฟฟ้าและการเชื่อมต่อโทรคมนาคมไปยังเมืองเมียวดี ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามชายแดนในเมียนมา อันเป็นพื้นที่ที่ถูกระบุว่ามีฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่จำนวนมาก การตัดกระแสไฟฟ้าเริ่มขึ้นเมื่อต้นเดือน ก.พ. 2568 ตรงกับช่วงที่นายกรัฐมนตรีของไทย แพทองธาร ชินวัตร (Paetongtarn Shinawatra) เดินทางเยือนจีนระหว่างวันที่ 5-8 ก.พ. 2568 ซึ่งมีรายงานว่าเธอได้หารือเกี่ยวกับปัญหาการหลอกลวงดังกล่าวกับประธานาธิบดีของจีน สีจิ้นผิง (Xi Jinping)
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ส่งทหารไปประจำการที่จุดผ่านแดนที่กลุ่มอาชญากรใช้ และออกหมายจับผู้นำคนสำคัญของกองกำลังติดอาวุธที่ควบคุมพื้นที่ต่างๆ ในเมียนมาที่กำลังเกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่หลอกลวงดังกล่าวด้วย หลังจากการเคลื่อนไหวข้างต้น แรงงานในฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลายพันคนได้รับการปล่อยตัว เครื่องบินลำแรกที่ส่งพลเมืองจีนที่ได้รับอิสรภาพกลับประเทศออกเดินทางในช่วงปลายเดือนนั้น ขณะที่พลเมืองจากชาติอื่นๆ หลายพันคนกำลังรอการส่งตัวกลับประเทศในค่ายต่างๆ บริเวณชายแดนฝั่งเมียนมา
แม้ว่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางการจีนจะเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมอาชญากรรมในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเมียนมา แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ทางการจีนน่าจะเน้นไปที่การช่วยเหลือพลเมืองของตนที่ติดอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ และจัดการกับผู้กระทำความผิดที่หลอกลวงประชาชนในจีนเสียมากกว่า ดังที่ เจค็อบ ซิมส์ (Jacob Sims) ผู้ร่วมก่อตั้ง Operation Shamrock กล่าวว่า จากสิ่งที่เราเห็นในตอนนี้ ไม่มีเหตุผลใดที่จะกล่าวได้ว่าการดำเนินการครั้งนี้จะนำไปสู่การปฏิรูปหรือการลดจำนวนปฏิบัติการหลอกลวงลง
Operation Shamrock เป็นองค์กรที่อุทิศตนเพื่อหยุดยั้งการระบาดของ “การเชือดหมู (Pig Butchering)” ซึ่งเป็นศัพท์ในวงการหลอกลวง หมายถึงมิจฉาชีพจะใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อทำให้เหยื่อไว้วางใจจนถึงขั้นหลงรักแล้วจึงหลอกให้โอนเงินโดยอ้างถึงแผนการลงทุนต่างๆ ซึ่งเปรียบเหมือนการเลี้ยงหมูแบบขุนให้อ้วนแล้วจึงส่งเข้าโรงเชือดเพื่อให้ได้เนื้อหมูที่มีคุณภาพดี โดย ซิมส์ มองว่า การลงมืออย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพทางการจีนในการจัดการกับมิจฉาชีพเหล่านี้ ดูเหมือนจะตอบสนองต่อแรงกดดันภายในประเทศค่อนข้างดี
ไม่ต่างจากทางการไทย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็มองว่ามีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองทางการเมือง รวมถึงการจัดการกับมิจฉาชีพตามแนวชายแดนเพราะเห็นว่าซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจ มากเสียกว่าที่จะพยายามกวาดล้างในสิ่งที่สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) อธิบายว่าเป็นหนึ่งในปฏิบัติการปราบปรามการค้ามนุษย์ที่ประสานงานกันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
(รอยเตอร์) 19 ก.พ. 2568 เหยื่อค้ามนุษย์ถูกหลอกลวงให้ไปทำงานในฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถูกส่งข้ามพรมแดนจากเมียนมาไปยังประเทศไทย กำลังเข้าคิวรับอาหารที่ศูนย์พักพิงภายในมณฑลทหารบกที่ 310 ค่ายวชิรปราการ จ.ตาก ประเทศไทย
ความร่วมมือเพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เกิดขึ้นหลังจากที่นักแสดงหนุ่มชื่อดังชาวจีนอย่าง หวังซิง (Wang Xing หรือ “ซิงซิง” ตามที่สื่อไทยเรียก) ถูกล่อลวงไปยังฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมาเมื่อไปเยือนประเทศไทยในเดือน ม.ค. 2568 คำร้องขอการปล่อยตัวเขาถูกแชร์ว่อนบนโลกออนไลน์ของจีน ซึ่งส่งผลให้ทางการของไทยและเมียนมาเจรจากันและปล่อยตัวเขาในเวลาต่อมา
นาธาน พอล เซาเทิร์น (Nathan Paul Southern) ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของโครงการ EyeWitness ซึ่งดำเนินการสืบสวนอุตสาหกรรมหลอกลวงทั่วทั้งภูมิภาค กล่าวว่า นับจากจุดนั้น ทางการไทยกับทางการจีนก็ประโยชน์ร่วมกันในความร่วมมือ โดยไทยนั้นไม่ต้องการถูกมองว่าไม่ปลอดภัยหรือมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกลักพาตัว ขณะที่จีนต้องการแสดงให้เห็นว่ารัฐสามารถปกป้องพลเมืองของตนได้ โดยปกติแล้ว เหตุผลก็คือ หากเป็นการหลอกลวงชาวจีนโดยใช้ภาษาจีนหรือบังคับใช้แรงงานชาวจีน หากสิ่งนี้กลายเป็นเรื่องน่าอับอายหรือเป็นปัญหาความมั่นคงสำหรับทางการจีน พวกเขาย่อมมุ่งมั่นที่จะจัดการกับฐานปฏิบัติการหลอกลวงเหล่านั้น
ในปี 2567 ที่ผ่านมา มีขาวจีนไปเยือนไทยมากถึง 6.7 ล้านคน ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย คาดหวังว่าในปี 2568 จะเพิ่มเป็น 9 ล้านคน แต่ “ซิงซิงเอฟเฟกต์” ทำให้ชาวจีนราว 10,000 คน ตามรายงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตัดสินใจไม่ไปเที่ยวประเทศไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่ง เจสัน ทาวเวอร์ (Jason Tower) ผู้อำนวยการประจำเมียนมา จากสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (USIP) กล่าวว่า ประเทศไทยซึ่งมีชาวจีนเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุด ตกเป็นตัวประกันของปัญหาภาพลักษณ์สาธารณะเหล่านี้ และสิ่งนี้ทำให้รัฐบาลไทยต้องดำเนินการ
เช่นเดียวกับ โจแอนน์ หลิน (Joanne Lin) นักวิจัยอาวุโสและผู้ประสานงานศูนย์การศึกษาอาเซียนที่สถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ของสิงคโปร์ อธิบายว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศไทยขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก และนักท่องเที่ยวชาวจีนมีสัดส่วนค่อนข้างมากในเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวโดยรวม แน่นอนว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยตกอยู่ในความเสี่ยง และไทยก็อยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากจีน
ในเดือน ก.พ. 2568 หลิวจงอี้ (Liu Zhongyi) ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่คนแรกของประเทศที่ 3 ที่ได้รับอนุญาตให้ข้ามพรมแดนไทยไปยังเมียวดี นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 2564 เพื่อสังเกตการณ์การปราบปรามองค์กรอาชญากรรม ซึ่ง ซิมส์ มองว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็น "การเตือนที่ดี" สำหรับกลุ่มอาชญากรที่อยู่อีกฝั่งของชายแดน อย่างไรก็ตาม อาชญากรรมประเภทการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมยังคงดำเนินต่อไปอย่างแทบไม่หยุดชะงัก
เช่นเดียวกับ เซาเทิร์น ชี้ว่า อาชญากรรมนี้ไม่เคยหยุดลง แต่ถูกย้ายไปดำเนินการโดยกลุ่มแก๊งอื่นๆ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทางใต้ของแม่น้ำ รวมถึงทั่วทุกแห่งในภูมิภาค ซึ่งตนคิดว่าโลกไม่ควรละสายตาจากสิ่งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ มาร์ค โคแกน (Mark Cogan) รองศาสตราจารย์ด้านสันติภาพและการศึกษาความขัดแย้ง มหาวิทยาลัยคันไซไกได จ.โอซากา ประเทศญี่ปุ่น ที่กล่าวว่า แม้การปราบปรามครั้งล่าสุดนี้อาจส่งสารถึงผู้กระทำความผิด แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกปิดกิจการอย่างเหมาะสมเป็นหลักฐานว่าภาพลักษณ์ของสาธารณะและการเมืองยังคงเป็นประเด็นสำคัญทั้งในไทยและจีน
หลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยพบเห็นกลุ่มอาชญากรเพิ่มมากขึ้นตามแนวชายแดนที่มีรูพรุน แม้จะมีการลักพาตัวเหยื่อและกลุ่มอาชญากรจำนวนมากขึ้นตามชายแดน แต่ เซาเทิร์น มองว่า ทางการไทยกลับแทบไม่ได้พยายามเลย ที่จะใช้มาตรการเพื่อหยุดยั้งกิจกรรมดังกล่าว โดยอ้างถึงการขาดการควบคุมพื้นที่ชายแดน โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรที่กลุ่มอาชญากรใช้ ขณะที่ โคแกน กล่าวว่า เวลานี้ พลวัตของภูมิภาคหมายความว่าการคำนวณเพื่อดำเนินการอย่างน้อยบางส่วนได้เปลี่ยนไปแล้ว
(รอยเตอร์) 20 ก.พ. 2568 หลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน เดินตรวจตราการส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ ซึ่งถูกลักพาตัวจากศูนย์หลอกลวงในเมียนมาร์ ท่ามกลางการปราบปรามศูนย์หลอกลวงที่ดำเนินการตามแนวชายแดนที่มีช่องโหว่ ที่สนามบินนานาชาติแม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก ประเทศไทย
เมียนมาเป็นสถานที่ที่แตกต่างไปจากเมื่อห้าปีก่อน โดยมีรายงานว่าอาชญากรรมข้ามชาติขยายตัวอย่างมาก กองกำลังติดอาวุธกลุ่มต่างๆ ยึดครองพื้นที่ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน และรัฐบาลทหารที่ปกครองประเทศก็มีอำนาจปกครองเพียงแบบหลวมๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความร่วมมือระดับสูงของไทยกับเพื่อนบ้าน โดยความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเมียนมานั้นใกล้ชิดกว่าในสมัยรัฐบาลของนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (Prayut Chan-o-cha) ซึ่งกองทัพมีบทบาทนำ เมื่อเทียบกับยุคของ แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ คนปัจจุบัน
โคแกน กล่าวว่า แพทองธาร อยู่ภายใต้การตรวจสอบจากสาธารณชนมากขึ้น จนถูกมองว่าเอาจริงเอาจังกับวิกฤติการฉ้อโกงที่ชาวไทยตกเป็นเป้าหมาย ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังตกต่ำเช่นกัน ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจดังกล่าวจะกระตุ้นให้เรียกร้องความร่วมมือด้านความมั่นคงจากจีนมากขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหา และส่งชาวจีนหลายพันคนที่ยังถูกควบคุมตัวใกล้ชายแดนไทยกลับประเทศ
ขณะที่ ทาวเวอร์ กล่าวว่า ไม่น่าแปลกใจที่ทางการจีนใช้โอกาสของวิกฤติชายแดนและกิจกรรมผิดกฎหมายที่แพร่ระบาดเพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิบัติการร่วมกันและการแบ่งปันข่าวกรองมากขึ้น ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่ฝ่ายจีนประกาศไว้เป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว โดย ปธน.สี ได้ส่งเสริมแผนริเริ่มความมั่นคงระดับโลกของจีน (GSI) ตั้งแต่ปี 2565
นโยบายกรอบดังกล่าวเสนอการปฏิรูปความมั่นคงระดับโลก ซึ่งในทางปฏิบัติสามารถช่วยปกป้องผลประโยชน์ในต่างประเทศได้ หลายประเทศในอาเซียนได้ให้การรับรองแผนริเริ่มดังกล่าวอย่างเป็นทางการ รวมถึงกัมพูชา ลาว และเมียนมา ส่วนประเทศไทยมีท่าทีระมัดระวัง โดยแสดงความเต็มใจที่จะสำรวจความร่วมมือภายใต้ GSI เท่านั้น ซึ่ง ทาวเวอร์ มองว่า แรงกดดันจากจีนที่นี่และความต้องการอิทธิพลด้านความมั่นคงของจีนมีความสำคัญมาก
กระทั่งล่าสุด สัญญาณของอิทธิพลด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นของจีนต่อไทยได้ปรากฏให้เห็นแล้ว หลังจากแข็งขืนมานานหลายปี รัฐบาลไทยได้ยอมผ่อนปรนและอนุญาตให้ส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีนเมื่อเดือน ก.พ. 2568 ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ (Kittharath Punpetch) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของไทย กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้รับคำยืนยันจากฝ่ายจีนว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับประเทศจะได้รับการดูแล ส่วนนายกฯ แพทองธาร ไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุผลของการตัดสินใจดังกล่าว
รัศมิ์ ชาลีจันทร์ (Russ Jalichandra) ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย กล่าวว่า แม้ประเทศอื่นๆ จะเสนอตัวรับกลุ่มดังกล่าว แต่ไทยอาจเผชิญกับการตอบโต้จากจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนไทยจำนวนมาก ขณะที่ในวันที่ 14 มี.ค. 2568 สหรัฐอเมริกาได้คว่ำบาตรวีซ่าต่อเจ้าหน้าที่ของไทย ชาติซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ เนื่องจากเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมีส่วนในการเนรเทศชาวอุยกูร์ โดยทางการสหรัฐฯ ชี้ว่า ชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับจีนจะเผชิญการถูกกดขี่ข่มเหง แต่ ทาวเวอร์ ตั้งข้อสังเกตว่า เพื่อแก้ไขปัญหาความปลอดภัยสาธารณะ ประเทศไทยจำเป็นต้องผ่อนปรนเงื่อนไขบางอย่างกับฝ่ายจีน โดยอ้างถึงการส่งกลับชาวอุยกูร์
ทางการจีนยังผลักดันให้มีการเชื่อมโยงที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย ผู้นำของทั้ง 2 ประเทศได้ลงนามข้อตกลงทวิภาคีเมื่อเดือน ก.พ. 2568 เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงตามชายแดนร่วมกับเมียนมา ปธน.สี กล่าวระหว่างการหารือกับนายกฯ แพทองธาร ในกรุงปักกิ่งของจีน ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต้องเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง การบังคับใช้กฎหมาย และความร่วมมือด้านตุลาการต่อไป เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ย้อนไปในปี 2566 รัฐบาลไทยยังได้หารือเกี่ยวกับข้อเสนอที่จะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนลาดตระเวนตามแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับเจ้าหน้าที่ไทย แต่แนวคิดดังกล่าวถูกประชาชนต่อต้านจนต้องล้มเลิกไป อย่างไรก็ตาม หากมองไปทางประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างกัมพูชา สำนักงานประสานงานความร่วมมือการบังคับใช้กฎหมายจีน-กัมพูชาก่อตั้งขึ้นในปี 2565 ทำให้ทางการจีนมีที่ยืนในประเทศดังกล่าวได้ จีนยังมีกำลังรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นจุดบรรจบของเขตแดนไทย เมียนมาและลาว ที่ขึ้นชื่อเรื่องแหล่งรวมอาชญากรรม
“ประเทศไทยถูกกดดันให้ยอมประนีประนอมมากขึ้น และไม่สามารถยอมให้ตัวเองอยู่ในสถานะที่อ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับจีนได้ ผมคิดว่ามีความเสี่ยงสำหรับประเทศไทย หากไม่รับบทบาทผู้นำ อาจมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่จะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองและแรงกดดันที่มากขึ้นจากฝั่งจีน และนั่นอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นให้ไทยปราบปรามปัญหาเหล่านี้มากขึ้น” ทาวเวอร์ จาก USIP กล่าว
(รอยเตอร์) 18 มี.ค. 2568 หญิงชาวอินโดนีเซียซึ่งได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากการถูกควบคุมตัวในฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา เดินทางด้วยเครื่องงบินจากประเทศไทยมาถึงสนามบินนานาชาติซูการ์โนฮัตตาในเมืองตังเกอรัง ใกล้กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
ขณะที่ หลิน มองว่า ประเทศไทยต้องปฏิบัติตนให้เป็นจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงภาวะสุญญากาศของผู้นำสหรัฐฯ และอิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาคหลังจากการหวนคืนเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ด้วยทรัมป์ 2.0 จะทำให้เห็นอิทธิพลของจีนเติบโตในอาเซียนอย่างแน่นอน ซึ่งไม่มีข้อสงสัยใดๆ ว่าประเทศไทยกำลังหันเข้าหาจีนมากขึ้น
ปัญหาความมั่นคงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นยังคงเกิดขึ้นในเมียนมา ทำให้เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันไม่สามารถควบคุมกลุ่มอาชญากรที่แพร่ระบาดท่ามกลางความไม่มั่นคงได้ จีนยังคงมีปัญหาใหญ่ที่ชายแดนทางตอนใต้ติดกับเมียนมา โดยพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังติดอาวุธยังคงเป็นฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากการวิเคราะห์ของ USIP พบว่า ชาวจีนส่วนใหญ่ที่ถูกระบุว่าสูญหายในเมียนมา ถูกพาตัวข้ามพรมแดนระหว่างประเทศจากมณฑลยูนนานและกวางสีของจีน ไม่ใช่จากชายแดนเมียนมาที่ติดกับประเทศไทย
หลิน กล่าวว่า แม้จีนจะร่วมมือกับรัฐบาลทหารเมียนมาเพื่อปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้ แต่ธรรมชาติของการควบคุมที่ไม่ชัดเจนทำให้สถานการณ์มีความซับซ้อน ซึ่งจีนได้ใช้ตัวแทนและเครือข่ายกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในเมียนมา เพื่อโจมตีฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่หลายครั้ง อนึ่ง แม้จีนจะเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลทหารเมียนมา แต่บทบาทของคณะรัฐประหารในกิจกรรมผิดกฎหมายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจ
“เรารู้ว่ารัฐบาลจีนต้องการความร่วมมือจากคณะรัฐประหารจริงๆ แต่ในทางกลับกัน มีกลุ่มที่เชื่อมโยงกับคณะรัฐประหารที่สนับสนุนปฏิบัติการฉ้อโกงเหล่านี้” หลิน จากสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องต้องกันว่า เนื่องจากจีนมุ่งเน้นการเจรจาและปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังติดอาวุธต่างๆ ในพื้นที่ของเมียนมา ทำให้ธุรกิจหลอกลวงนี้ไม่ได้รับการตรวจสอบในที่อื่นมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกัมพูชา ซึ่ง หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID) ประเมินว่ามีคนมากกว่า 150,000 คนที่ตกเป็นเหยื่อของอุตสาหกรรมหลอกลวงนี้ และตามข้อมูลของ USIP แก๊งคอลเซ็นเตอร์สามารถรายได้ประมาณ 12,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.2 แสนล้านบาท) ต่อปี
ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้หมายความว่าปัจจุบันการหลอกลวงสร้างรายได้มากกว่าอุตสาหกรรมส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชาอย่างเครื่องนุ่งห่ม โดยมีมูลค่าเกือบ 4 เท่าของภาคการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่ง เซาเทิร์น เปิดเผยว่า การติดตามกลุ่มสนทนาที่กลุ่มอาชญากรใช้ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์กำลังพยายามย้ายฐานปฏิบัติการจากเมียนมาไปยังกัมพูชา ซึ่งมีการตรวจสอบน้อยกว่าและกลุ่มอาชญากรทำงานโดยไม่ต้องกลัวถูกปิด
“สถานที่เดียวในภูมิภาคนี้ที่กลุ่มอาชญากรมักดำเนินการอย่างเปิดเผยใจกลางเมืองหลวง คือในกัมพูชา หากไม่มีแรงกดดันจากจีนให้ปราบปรามในตอนนี้ อาชญากรรมก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจที่นั่น” เซาเทิร์น จาก EyeWitness กล่าว
แม้จะมีการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ ช่วยเหลือผู้คนหลายร้อยคนที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อเดือนที่แล้ว และแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เข้มงวดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการพนันมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ากิจกรรมทางอาชญากรรมยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ทาวเวอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้กระทำความผิดมีอิทธิพลอย่างมากในกัมพูชาจนแทบจะแตะต้องไม่ได้ ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ากัมพูชาเป็นสวรรค์สำหรับกิจกรรมของกลุ่มอาชญากร โดยกล่าวโทษสื่อต่างประเทศและองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ว่าสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับประเทศ
(รอยเตอร์) 29 ก.พ. 2568 เหยื่อค้ามนุษย์ถูกหลอกบังคับทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ "เคเคปาร์ก" ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งได้รับอิสรภาพ หลังการปราบปรามที่ดำเนินการโดยกลุ่่ม Karen BGF ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ที่ปกครองเมือวเมียวดี
รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อปี 2567 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของกัมพูชากำลังบ่อนทำลายความพยายามบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการค้ามนุษย์และการปกป้องเหยื่อ และปัดเป่าข้อกล่าวหาที่รายงานโดยลดความสำคัญและปฏิเสธข้อความสาธารณะเกี่ยวกับความแพร่หลายและความรุนแรงของการหลอกลวงทางออนไลน์ รวมถึงรายงานการสมรู้ร่วมคิดของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม Chou Bun Eng รองประธานถาวรของคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ของกัมพูชา ได้บอกกับสื่อท้องถิ่นหลายครั้งว่าอย่างน้อยร้อยละ 80 ของคดีค้ามนุษย์ที่รายงานโดยทางการนั้นเป็นเท็จ
กัมพูชาถูกจัดให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการทุจริตมากที่สุดในโลก โดยจากข้อมูลขององค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) พบว่า ในปี 2567 ประเทศดังกล่าวตกมาอยู่ที่อันดับ 158 จากทั้งหมด 180 ประเทศ เมื่อพิจารณาจากระดับการทุจริตในภาครัฐ ผู้ประกอบการชาวกัมพูชาหลายราย รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของรัฐบาล ถูกพัวพันในบทบาทที่อำนวยความสะดวกให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ผ่านทรัพย์สินที่พวกเขาเป็นเจ้าของ หรือการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีการระบุว่าเกิดอาชญากรรมขึ้น
มีรายงานการเปิดเผยทรัพย์สินที่เป็นเจ้าของโดย Ly Yong Phat ที่ปรึกษาของ ฮุน มาเนต (Hun Manet) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่ง Ly ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ คว่ำบาตรในเดือน ก.ย. 2567 เนื่องจากมีบทบาทในการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติต่อแรงงานที่ถูกค้ามนุษย์ซึ่งถูกบังคับใช้แรงงานในฐานปฏิบัติการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม
ดัชนีอาชญากรรมที่จัดตั้งขึ้นทั่วโลกพบว่าชาวจีนในกัมพูชามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกรรโชกทรัพย์ การรีดไถ การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด และการฟอกเงินผ่านกาสิโนและโครงการก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ซิมส์ กล่าวว่ากัมพูชาไม่ตกเป็นเป้าหมายของทางการจีน เนื่องจากกลุ่มอาชญากรดำเนินการอย่างชาญฉลาด กัมพูชาสามารถหลีกเลี่ยงเหยื่อการหลอกลวงจากจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สามารถทำได้เพราะกัมพูชามีการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางมากขึ้น มีคนจำนวนน้อยที่มีอำนาจสั่งการ
“จีนยังใช้แนวทางที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นในการเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาแบบทวิภาคี ซึ่งสนับสนุนเพียงเล็กน้อยในการการลดทอนความเป็นอาชญากรรมต่อโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจของกัมพูชา ซึ่งไม่มีทางทำได้ แน่นอนว่าจีนมีความแข็งแกร่งทางการทหารและภูมิรัฐศาสตร์เพียงพอที่จะบีบบังคับกัมพูชาให้ทำอย่างนั้นได้ แต่จีนรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้น ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างจีนกับกัมพูชาก็จะสั่นคลอน” ซิมส์ จาก Operation Shamrock กล่าว
รายงานของสื่อสิงคโปร์ ทิ้งท้ายว่า ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ อิทธิพลของจีนในการปิดฉากกิจกรรมผิดกฎหมายที่มากเกินไปนั้นส่งผลให้กลอุบายหลอกลวงถูกพัฒนาให้หลากหลายมากขึ้น โดย ซิมส์ ตั้งข้อสังเกตว่า ทุกครั้งที่จีนเพิ่มความพยายามในการควบคุมอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคม เหยื่อจะถูกเปลี่ยนจากชาวจีนไปเป็นคนชาติอื่นๆ แทนเสมอ ตนกำลังจับตามองอยู่ว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์กำลังเปลี่ยนลำดับความสำคัญ และเปลี่ยนคนที่ส่งไปเพื่อหลอกลวง โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้พูดภาษาอังกฤษมากขึ้น รวมถึงเหยื่อในอินเดียและแอฟริกา เพราะองค์กรอาชญากรรมมีความเสี่ยงในการต้องรับผลที่ตามมามากที่สุดหากกำหนดเป้าหมายไปที่ชาวจีน
(รอยเตอร์) 21 ก.พ. 2568 "แม่น้ำเมย" พรมแดนธรรมชาติที่กั้นระหว่างไทยกับเมียนมา ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก
ยังไม่มีแรงกดดันหรือมาตรการคว่ำบาตรจากภายนอกจากรัฐบาลชาติอื่นๆ ของโลกมากนัก ต่อผู้ที่ช่วยเหลือหรือให้ที่พักพิงแก่กลุ่มอาชญากร ซึ่งหากไม่มีการดำเนินการใดๆ ในเร็วๆ นี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงที่อุตสาหกรรมการหลอกลวงจะเปลี่ยนแปลงไปและส่งผลกระทบต่อประเทศที่อยู่ห่างไกลโดยไม่มีวิธีการปราบปราม ดังที่ เซาเทิร์น ให้ความเห็นว่า หากในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า บุคคลสำคัญบางคนไม่ได้รับการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ดูเหมือนว่ากลุ่มอาชญากรเหล่านี้จะสามารถทำอะไรได้มากมายจนแทบจะไม่มีขีดจำกัด และพวกเขายังสามารถเติบโตต่อไปได้
ยังคงมีอีกหลายอย่างที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ซึ่งกำลังพยายามแก้ไขปัญหาชายแดนและการส่งตัวเหยื่อค้ามนุษย์กลับประเทศ โดยทางการไทยกำลังพิจารณาสร้างกำแพงยาว 50 กิโลเมตรที่ชายแดนกัมพูชาเพื่อควบคุมการข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ขณะที่ชายแดนไทย บริเวณ อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งติดกับเมืองเมียวดีของเมียนมา ยูดาห์ ฮิระ ทานะ (Judah Hira Tana) ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศของ Global Advance Projects กำลังเฝ้าดูเหยื่อหลายพันคนยังคงทนทุกข์ทรมานอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย ขณะที่ชาวจีนถูกส่งตัวขึ้นเครื่องบินกลับบ้านหลังจากได้รับการปล่อยตัว
“เราจำเป็นต้องเห็นรัฐบาลจากนานาประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในภูมิภาคนี้ และแสดงให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมที่จะตอบสนองและรับผิดชอบต่อพลเมืองของตน” ยูดาห์ กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณภาพจากรอยเตอร์
ขอบคุณเรื่องจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี