23 มี.ค. 2568 สำนักข่าวออนไลน์ The Times of Israel ของอิสราเอล เสนอรายงานพิเศษ As war-weary Israeli reservists head to Thailand, poor behavior could spoil relations ว่าด้วย อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ของประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนนักท่องเที่ยวก็ทำให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกับคนไทยในท้องถิ่น โดยเฉพาะจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจากนักท่องเที่ยวเอง ทำให้ภาพลักษณ์ “เมืองสงบ” ของ อ.ปาย ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เรนนี (Rennie) เจ้าของร้านกาแฟที่เปิดร้านในพื้นที่ อ.ปาย มาแล้วว่า 10 ปี เล่าว่า นักท่องเที่ยวมาสั่งอาหารจำนวนมาก รวมมูลค่าหลายร้อยบาทแล้วก็ไม่อยากจ่ายเงิน ทั้งนี้ จากการสัมภาษณ์ชาวไทยในพื้นที่และนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่เดินทางมาเป็นเวลานาน ความตึงเครียดในปัจจุบันดูเหมือนเพิ่งจะก่อตัวขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยจากสถิติปี 2567 ที่ผ่านมา อ.ปาย ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 221,776 คน อันดับ 1 เป็นชาวอังกฤษ 39,390 คน ตามด้วยอันดับ 2 คือชาวอิสราเอล 31,735 คน
ยานิฟ กรินเบิร์ก (Yaniv Grinburg) ชายวัย 47 ปี ซึ่งย้ายมา อ.ปาย กับภรรยาเมื่อ 2 ปีก่อน และเริ่มเปิดกลุ่ม WhatsApp สำหรับชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ระยะยาว เล่าว่า เมื่อตอนที่ตนมาถึง อ.ปาย ใหม่ๆ เวลานั้นมีครอบครัวชาวอิสราเอลอยู่เพียง 3 ครอบครัวเท่านั้น บางครั้งก็มีคนมาเยี่ยมเยียนและผ่านไป-มา แต่ปีนี้มีผู้คนจำนวนมากมาเยือน ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากสถานการณ์สงครามในพื้นที่ฉนวนกาซา ทำให้คนหนุ่ม-สาวชาวอิสราเอล เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจรับใช้ชาติจากการเป็นทหารแล้วและต้องการพักผ่อน เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง
โรงเรียนสอนการใช้ชีวิตในธรรมชาติให้กับเด็กๆ ชาวอิสราเอล ได้ย้ายจากรัฐกัว ประเทศอินเดีย มายัง อ.ปาย ประเทศไทย โรงเรียนแห่งใหม่และการสร้างกำแพงรักษาความปลอดภัยรอบบ้านชาบัดในท้องถิ่น ซึ่งเป็น 1 ใน 7 หลังในประเทศไทย ทำให้ชาวปายรู้สึกมากขึ้นว่าชาวอิสราเอลมาที่นี่เพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่และเปลี่ยนแปลงลักษณะของเมืองเล็กๆ แห่งนี้อย่างถาวร นอกจากนั้น ความแตกต่างทางวัฒนธรรมยังทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้น
“ในวัฒนธรรมไทยมีแนวคิดที่เรียกว่า ‘เกรงใจ (Kreng Jai)’ ซึ่งพวกเขาจะน้อมรับและแบกภาระสิ่งต่างๆ ได้ดี ไม่เผชิญหน้าและไม่ตรงไปตรงมา และแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ถึงจุดหนึ่ง พวกเขาไม่สามารถรับมือได้อีกต่อไป และทุกอย่างก็ระเบิดออกมา” กรินเบิร์ก กล่าว
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ได้แก่ การพูดเสียงดังในตอนดึก การแต่งกายที่ไม่เหมาะสม ท่าทางก้าวร้าว การโต้เถียง และการต่อรองราคา ซึ่งในส่วนอื่นๆ ของโลก การกระทำเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ แต่กรณีของวัฒนธรรมไทย นี่เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยและไม่เป็นที่ต้อนรับ อย่างไรก็ตาม D’Tom Tomarito ซึ่งเป็นตำรวจท่องเที่ยวในพื้นที่ อ.ปาย ย้ำว่า แก่นแท้ของปัญหาไม่ได้อยู่ที่เชื้อชาติ ศาสนา หรือสัญชาติ แต่เป็นเรื่องของพฤติกรรม ซึ่งไม่เฉพาะชาวอิสราเอล หากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ว่าจะมาจากที่ใดทำพฤติกรรมเช่นนี้ ก็จะเป็นปัญหาที่ร้ายแรงพอๆ กัน
รายงานของสื่ออิสราเอล ยังตั้งข้อสังเกตว่า แม้จะมีความพยายามเรียกร้องให้แยกแยะระหว่างปัญหาของปายกับนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลกับความรู้สึกต่อต้านไซออนิสต์หรือต่อต้านชาวยิว แต่เรื่องนี้กลับไม่ชัดเจนในสื่อท้องถิ่นของไทย สื่อสังคมออนไลน์ และในกราฟิตีที่พบในปาย มีเสียงเรียกร้องจากประชาชนให้ป้องกันไม่ให้ชาวยิวเข้ายึดครอง “ปาย-เลสไตน์” หรือการเปลี่ยนปายให้เป็น “ดินแดนแห่งพันธสัญญา” ใหม่ สติ๊กเกอร์ทั่วเมืองดูเหมือนจะโฆษณาปายในเชิงเสียดสีว่าเป็นสถานที่สำหรับ “พักจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้วไปปาร์ตี้กัน”
เนื่องจากประเด็นดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องก่อนขยายวงสู่ความสนใจทั่วประเทศ โดย แพทองธาร ชินวัตร (Paetongtarn Shinawatra) นายกรัฐมนตรีของไทย ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวโดยตรง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เธอได้ออกมาปฏิเสธรายงานที่เผยแพร่ออกไปบางส่วนโดยระบุว่าเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด ซึ่งรวมถึงข้อกล่าวอ้างว่าทรัพย์สินของอิสราเอลได้ติดป้ายห้ามคนไทยเข้าประเทศ และมีชาวอิสราเอลกว่า 30,000 คนได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่ อ.ปาย แล้ว
ขณะที่ในฝั่งทางการอิสราเอล แม้กระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2568 ระบุว่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลเกิดขึ้นหลายครั้ง ทำให้ทางการไทยต้องใช้มาตรการที่เข้มงวด โดยเฉพาะที่ปาย เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล และอาจส่งผลกระทบต่อการต้อนรับที่อบอุ่นที่ชาวอิสราเอลได้รับในประเทศไทย
แถลงการณ์ยังระบุแนวทางปฏิบัติโดยละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เหมาะสม รวมถึงการไม่ส่งเสียงดังในพื้นที่สาธารณะ การเคารพประเพณีท้องถิ่น และการแต่งกายที่เหมาะสม เพราะชาวไทยเคารพและต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลอย่างอบอุ่น จึงควรรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ พร้อมเสริมว่า ชาวอิสราเอลหลายคนถูกเนรเทศออกไปเมื่อไม่นานนี้เนื่องจากละเมิดแนวทางปฏิบัติดังกล่าว
เมื่อถูกถามถึงขอบเขตของการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและตำรวจไทยปฏิเสธที่จะระบุสถิติเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับจำนวนชาวอิสราเอลที่ถูกตั้งข้อหาในคดีอาญาหรือถูกเนรเทศ โดยอ้างเหตุผลเรื่องความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวได้กระตุ้นให้ทางการไทยต้องดำเนินการ
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ (Kittharath Punpetch) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของไทย ได้กำหนดเส้นตาย 7 วันให้เจ้าหน้าที่สอบสวนชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในปายเกี่ยวกับกิจกรรมผิดกฎหมายและความวุ่นวายในที่สาธารณะ โดยได้สั่งให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว และหน่วยงานในพื้นที่ประสานงานความพยายามนี้ โดย พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง (Achayon Kraithong) โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย เปิดเผยว่า ตำรวจทุกสถานีได้รับคำสั่งให้ดำเนินคดีกับชาวต่างชาติที่ละเมิดกฎหมาย
ในวันที่ 26 ก.พ. 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล (Anutin Charnvirakul) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของไทย ลงพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อดูสถานการณ์ด้วยตนเอง และกล่าวว่า รายงานการที่อิสราเอลเข้ายึดครอง อ.ปาย นั้นเป็นเท็จ และยังรับรองด้วยว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้ปฏิบัติตามกฎหมายและไม่เป็นภัยคุกคามต่อชุมชนท้องถิ่น
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า เมื่อฤดูการเผาใกล้เข้ามาทางภาคเหนือของประเทศไทย คนในท้องถิ่นบางส่วนหวังว่าการหยุดชะงักตามธรรมชาติของภาคการท่องเที่ยวจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดได้ เนื่องจากควันจากการเผาพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรทำให้คุณภาพอากาศแย่ลงอย่างน่าตกตะลึง และนักท่องเที่ยวต่างพากันอพยพ อาทิ วูด (Wood) ชาวไทยที่เปิดบาร์ใน อ.ปาย ซึ่งก่อนหน้านี้ติดป้าย “ไม่รับชาวอิสราเอล” แต่ทางตำรวจได้ขอให้ปลดป้ายออก กล่าวว่า เดือนหน้าจะเป็นฤดูควัน ซึ่งทุกคนจะลงไปทางใต้
กรินเบิร์ก แบ่งปันความหวังดีอย่างระมัดระวังนี้ โดยเชื่อว่าสิ่งต่างๆ จะสงบลง และบางทีข่าวร้ายทั้งหมดที่ อ.ปาย ได้รับอาจทำให้ชาวอิสราเอลห่างเหินจากมันไปบ้าง กรินเบิร์ก เล่าว่า ตนและสมาชิกชุมชนคนอื่นๆ ได้ทำงานร่วมกับตำรวจท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมความเข้าใจทางวัฒนธรรมผ่านโครงการต่างๆ เช่น การแจกใบปลิวเพื่อการศึกษาและการจัดโครงการบริการชุมชน รวมถึงการทำความสะอาดสวนสาธารณะ และการเป็นอาสาสมัครที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของชาวเมียนมาในท้องถิ่น
รายงานของสื่ออิสราเอล ทิ้งท้ายว่า ท่าทีของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่จะเพิกถอนวีซ่าของชาวต่างชาติ หากพฤติกรรมของพวกเขาก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสังคม ส่งผลกระทบต่อสันติภาพและความปลอดภัยของประชาชน ส่งสัญญาณถึงผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นต่อการท่องเที่ยวของชาวอิสราเอลในประเทศไทย ซึ่งจากการสืบสวนของตำรวจและความสนใจจากบุคคลระดับรัฐมนตรี สถานการณ์ได้ลุกลามไปไกลเกินกว่าความกังวลของคนในพื้นที่
รายงานข่าวพากลับไปที่เจ้าของร้านกาแฟอย่างเรนนี ซึ่งเธอยังคงต้อนรับนักท่องเที่ยวในขณะที่หวังว่าจะมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่เคารพซึ่งกันและกันมากขึ้น พร้อมกับอธิบายว่า ที่ประเทศไทยเราทำงานหนักมาก โดยพนักงานของเธอหลายคนได้รับค่าจ้างเพียง 300 บาท [ประมาณ 30 เชเกล หรือ 9 เหรียญสหรัฐ] ต่อวันเท่านั้น แต่ก็ย้ำว่า ตนเข้าใจหัวอกนักท่องเที่ยววัยหนุ่ม – สาวที่อยากจะเฉลิมฉลองกับเพื่อนๆ
“ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันรู้สึกแบบนั้น ถ้าฉันได้ไปต่างประเทศและได้พบกับเพื่อนๆ จากประเทศเดียวกัน ฉันจะสนุกและมีความสุขมาก แต่หวังว่าพวกเขาจะหาจุดสมดุลได้ คุณสามารถสนุกได้ แต่ต้องมีความเคารพกันในขอบเขตที่เหมาะสม ฉันแค่ต้องการใครสักคนที่จะช่วยเหลือและเข้าใจว่าเรารู้สึกอย่างไร โดยหวังว่านักท่องเที่ยวหนุ่ม – สาวจะเรียนรู้ที่จะชื่นชมวัฒนธรรมไทย บางทีพวกเขาอาจจะยังเด็ก พวกเขาไม่รู้ และเพิ่งเดินทางมาเป็นครั้งแรก ฉันหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจ” เรนนี กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณเรื่องและภาพจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี