23 มี.ค. 2568 นสพ.The Phnom Penh Post ของกัมพูชา เผยแพร่บทความ The glut of tiny loans in Cambodia: Lifesaver or Trap? ซึ่งเขียนโดย Veasna Kheng ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย ว่าด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศกัมพูชา กับคำถามที่ว่า “ไมโครไฟแนนซ์ (Microfinance)” หรือระบบสินเชื่อสำหรับผู้กู้ยืมระดับรายย่อยคนเล็กคนน้อย ช่วยทำให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือยิ่งซ้ำเติมวังวนหนี้สินกันแน่ เนื้อหาดังนี้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรื่องราวของชาวกัมพูชาที่มีรายได้น้อยซึ่งติดอยู่ในวังวนแห่งหนี้สินจากสถาบันการเงินรายย่อยได้รับความสนใจอย่างมาก เรื่องราวเหล่านี้ได้รับการนำเสนอในสำนักข่าวต่างประเทศอย่าง Bloomberg และ DW (Deutsche Welle) โดยเล่าให้เห็นภาพอันเลวร้ายของสถาบันการเงินรายย่อยไม่ใช่ในฐานะผู้กอบกู้ชีวิต แต่เป็นนายทุนเงินกู้สุดโหด (Shark) ซึ่งทำให้ผู้คนสงสัยว่าสถาบันการเงินรายย่อยเป็นเชือกช่วยชีวิตคนจนหรือไม่
เพื่อให้เข้าใจผลกระทบของสถาบันการเงินรายย่อยได้ดีขึ้น ผมจะพูดถึงรากฐานของสถาบันการเงินรายย่อยก่อน จากนั้นจึงพูดถึงการพัฒนา สาเหตุ และผลกระทบในกัมพูชา และสุดท้าย ผมจะสำรวจมาตรการบางอย่างเพื่อบรรเทาด้านมืดของสถาบันการเงินรายย่อย
- รากฐานของไมโครไฟแนนซ์ : ระบบการเงินมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจโดยนำเงินจากผู้ฝากเงินไปยังผู้กู้ยืม ในฐานะส่วนสำคัญของระบบนี้ ธนาคารมักจะติดต่อกับคนที่มีฐานะร่ำรวยและมีความสามารถในการหารายได้ที่พิสูจน์ได้ ทำให้ประชากรจำนวนมากของโลกไม่ได้รับสิทธิ์ในระบบที่สำคัญนี้
อย่างไรก็ตาม ในปี 2511 มะหะหมัด ยูนุส (Mahammad Yunus หรือ มูฮัมหมัด ยูนุส - Muhammad Yunus) นักเศรษฐศาสตร์ชาวบังกลาเทศ ได้ค้นพบวิธีที่จะนำกลุ่มคนที่ถูกละเลยเหล่านี้เข้าสู่ระบบ ในขณะที่มองหาวิธีบรรเทาความยากจน เขาได้พบกับเกษตรกรในหมู่บ้าน Jobra ประเทศบังกลาเทศ ซึ่งธุรกิจขนาดเล็กของพวกเขาได้รับเงินทุนจากธนาคารในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า
ด้วยความเมตตา ยูนุสช่วยให้เกษตรกรที่ยากจนเหล่านั้นได้รับดอกเบี้ยอัตราที่ต่ำกว่าโดยใช้กลุ่มผู้หญิงเป็นผู้ค้ำประกันร่วม วิธีการปฏิบัตินี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก จนในช่วงปี 2543 สถาบันการเงินไมโครไฟแนนซ์ (MFI) ที่ให้บริการที่คล้ายคลึงกันแพร่หลายไปทั่วทั้งเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา ซึ่งกัมพูชาก็เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่มีสินเชื่อรูปแบบนี้อยู่มากมาย
- วิวัฒนาการของไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชา : ในช่วงทศวรรษ 1980 (ปี 2523-2532) หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งภายในและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กัมพูชาต้องการทรัพยากรบุคคล ทุนทางการเงิน และเทคโนโลยีอย่างยิ่งในการพัฒนา จนในปี 2533 GRET (Group de Recherches et d’Echanges Technologies) ได้เปิดตัวสถาบันการเงินขนาดเล็กแห่งแรกที่มีความสำคัญเพื่อช่วยเหลือประชากรที่ยากจนในชนบท กระทั่งในปี 2548 มีสถาบันการเงินขนาดเล็กที่ได้รับใบอนุญาต 16 แห่งและองค์กรสถาบันการเงินขนาดเล็กที่ไม่แสวงหากำไรประมาณ 83 แห่ง
ณ สิ้นปี 2566 ไมโครไฟแนนซ์ได้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีสถาบันการเงินขนาดเล็ก 87 แห่งและสถาบันสินเชื่อในชนบท 114 แห่ง โดยอ้างอิงจากรายงานประจำปีการกำกับดูแล ในปี 2548 และ 2566 ของธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) ซึ่งเป็นหน่วยงานธนาคารกลางของประเทศ นอกจากนั้น ปริมาณสินเชื่อรายย่อยพุ่งสูงจากเพียงไม่กี่ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2538 มาเป็น 431 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2553 และแตะระดับสูงสุด 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 คำถามคืออะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นนี้?
- สาเหตุการ “ล้นตลาด” ของไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชา : แรงผลักดันของตลาดสองประการ ได้แก่ อุปทานและอุปสงค์ เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ในด้านอุปทาน อัตราผลตอบแทนที่ทำกำไรได้ถือเป็นแรงผลักดันหลักประการหนึ่ง ในปี 2561 ผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นของ LOLC Cambodia และ PRASAC อยู่ที่ประมาณร้อยละ 28 ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกัมพูชาถึง 3 เท่า สิ่งนี้ดึงดูดนักลงทุนทั้งในท้องถิ่นและต่างชาติจำนวนมากเข้าสู่ตลาด ทำให้ตลาดมีการแข่งขันสูงจนผู้กู้สามารถขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้นและดอกเบี้ยถูกลง
ขณะที่ในด้านอุปสงค์ ความต้องการสินเชื่อรายย่อยของชาวกัมพูชาเพิ่มขึ้นจากหลายปัจจัย ประการแรก ผู้คนรู้สึกว่าร่ำรวยขึ้นกว่าเดิม รายได้เฉลี่ยต่อปีของประเทศเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7 ต่อปีในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา และมีจำนวนคนที่ได้รับเงินที่ส่งมาจากญาติที่ไปทำงานในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น (เช่น ไทย มาเลเซีย เกาหลีใต้และญี่ปุ่น) มูลค่าการโอนเงินเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากเกือบร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศในปี 2536 มาเป็นร้อยละ 9 ในปี 2565
อีกประการหนึ่งคือ “สังคมที่ผู้คนชอบเลียนแบบกันเอง” ตัวอย่างเช่น เมื่อใครคนหนึ่งมีรถยนต์คันใหม่หรือโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ คนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างก็มักจะปรารถนาในสิ่งเดียวกัน เรื่องนี้มองเห็นได้จากสินเชื่อรายย่อยสำหรับการบริโภคในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเพียง 4.3 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2553 เป็นประมาณ 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565
นอกจากนั้น ผู้คนจำนวนมากไม่ว่าจะมีฐานะร่ำรวยหรือยากจน ต่างก็เก็งกำไรในช่วงที่อสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟู ซึ่งทำให้ความมั่งคั่งของผู้คนจากอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แรงผลักดันของตลาดเหล่านี้นำไปสู่กระแสการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น ยอดเงินกู้เฉลี่ยของลูกค้า LOLC Cambodia พุ่งสูงขึ้นจากประมาณ 250 เหรียญสหรัฐในปี 2552 เป็นประมาณ 2,500 เหรียญสหรัฐในปี 2561 แต่หนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลได้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อสังคม
- ผลกระทบต่อผู้กู้ : เนื่องจากผลกระทบของสินเชื่อรายย่อยในระดับจุลภาคนั้นรุนแรงกว่าและวัดผลได้ง่ายกว่าในระดับมหภาค (เช่น อัตราเงินเฟ้อ การจ้างงาน และการพัฒนาเศรษฐกิจ) ผมจึงจะพูดถึงสินเชื่อรายย่อยเป็นหลัก
"สำหรับปัจเจกบุคคล หนี้เปรียบเสมือนดาบสองคม ซึ่งอาจช่วยปรับปรุงหรือทำลายชีวิตของพวกเขาได้" โดยทั่วไป หากผู้กู้ใช้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบและเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ ก็มักจะเป็นประโยชน์ต่อตัวพวกเขาและสังคมมากกว่า เพราะสินเชื่อจะช่วยคลายข้อจำกัดทางการเงินและปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา มีเรื่องราวความสำเร็จมากมายของผู้หญิงที่มีรายได้น้อยที่ใช้สินเชื่อรายย่อยเพื่อสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาใช้เงินกู้ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่น การพนันหรือการเก็งกำไร พวกเขามักจะเป็นหนี้เกินตัวและไม่สามารถชำระหนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากผู้กู้ส่วนใหญ่พึ่งพาการเกษตรและเงินโอนจากลูกหลานที่ทำงานในโรงงานเสื้อผ้าหรือในต่างประเทศ ความสามารถในการชำระหนี้ของพวกเขาจึงได้รับผลกระทบได้ง่าย
ปัจจัยทั้งหมดนี้ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับรายย่อยที่สูง อาจทำให้ผู้กู้ติดกับดักหนี้ นำไปสู่การถูกบังคับให้ขายที่ดินและบ้านของตน หรือต้องอพยพไปทำงานที่ไกลถึงต่างประเทศ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบมากขึ้นอีกด้วย และเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจเหล่านี้ก็ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า “ใครคือผู้ต้องรับผิดชอบ?” ผู้กู้ หรือผู้ให้กู้ หรือหน่วยงานกำกับดูแล และได้ดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
- มีการดำเนินการอะไรเกี่ยวกับปัญหานี้ไปแล้วบ้าง? : มี่คำถามว่า “ได้ทำอะไรบ้างเพื่อปกป้องผู้ที่เปราะบางโดยเฉพาะ?” หากปล่อยให้ตลาดไมโครไฟแนนซ์ปรับตัวเองโดยกำจัดผู้กระทำผิดออกไป ตลาดนี้ไม่น่าจะประสบความสำเร็จได้ เนื่องจากผู้ล่ามักแอบซ่อนอยู่ทุกมุมถนน และยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ในแง่ของความรู้ทางการเงิน ซึ่งก็คือความสามารถในการประเมินข้อมูลและใช้เงินอย่างชาญฉลาด
“ผลการศึกษาในทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาล้วนแสดงให้เห็นว่า ความรู้ทางการเงินที่ต่ำมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นหนี้เกินตัว” ดังนั้น ตลาดไมโครไฟแนนซ์จึงต้องการการแทรกแซงจากผู้กำหนดนโยบายที่มีเมตตาเช่นเดียวกับธนาคารโดยทั่วไป
เมื่อเร็วๆ นี้ แบงก์ชาติของกัมพูชา ร่วมกับ สมาคมไมโครไฟแนนซ์กัมพูชา องค์กรสหประชาชาติ (UN) และผู้มีส่วนได้ - ส่วนเสียอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคส่วนนี้ด้วยแนวปฏิบัติ เช่น ห้ามใช้เอกสารสิทธิ์ที่ดินชุมชนของชนพื้นเมือง ขยายโครงการความรู้ทางการเงิน และส่งเสริมการปฏิบัติด้านการกู้ยืมที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องดูกันต่อไปว่านโยบายเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพหรือไม่
ผู้เขียนบทความทิ้งท้ายว่า ในที่สุดแล้ว แม้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องรับผิดชอบต่อการดำรงชีพของตนเอง แต่เนื่องจากคนระดับฐานรากมีทรัพยากรและความรู้ที่จำกัด พวกเขาจึงต้องการความช่วยเหลือเพื่อหลุดพ้นจากสภาพที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ สินเชื่อรายย่อยถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดหากใช้ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม แต่น่าเสียดายที่เมื่อเป็นเรื่องของธุรกิจ ผู้คนมักจะแสวงหากำไรให้ได้มากที่สุดหากไม่ได้รับการควบคุม นั่นเป็นสาเหตุที่แบงก์ชาติของกัมพูชา กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 18 แต่มีคำถามว่า เพดานอัตราดอกเบี้ยนี้จะสามารถทำให้ต่ำกว่าหรือเทียบเท่ากับค่าธรรมเนียมเฉลี่ยของธนาคารได้หรือไม่
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.phnompenhpost.com/opinion/the-glut-of-tiny-loans-in-cambodia-lifesaver-or-trap-
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี