27 มี.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Trump auto tariffs: President slaps 25% duties on car imports to US ระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2568 ว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และรถบรรทุกขนาดเบา ในอัตราร้อยละ 25 เริ่มตั้งแต่สัปดาห์หน้า ส่งผลให้สงครามการค้าโลกที่ทรัมป์เริ่มต้นขึ้นหลังกลับมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 รุนแรงขึ้น ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์คาดว่าจะทำให้ราคาสูงขึ้นและการผลิตหยุดชะงัก
ผู้นำสหรัฐฯ มองว่า ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือในการเพิ่มรายได้เพื่อชดเชยมาตรการลดหย่อนภาษีที่สัญญาไว้และเพื่อฟื้นฟูฐานอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ที่ตกต่ำมานาน โดยทรัมป์กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จะเริ่มขึ้นในวันที่ 3 เม.ย. 2568 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันที่เขาวางแผนที่จะประกาศการจัดเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบแทนที่มุ่งเป้าไปที่ประเทศต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของการขาดดุลการค้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ
เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ระบุว่า แนวทางของทรัมป์ส่งผลเสียต่อธุรกิจ และเลวร้ายกว่าสำหรับผู้บริโภค ในขณะที่ มาร์ก คาร์นีย์ (Mark Carney) นายกรัฐมนตรีของแคนาดา กล่าวว่า การดำเนินการของทรัมป์เป็นการโจมตีโดยตรงต่อแรงงานชาวแคนาดา ซึ่งในการแถลงข่าวที่กรุงออตตาวา นายกฯ แคนาดา ย้ำว่า จะปกป้องแรงงาน ผู้ประกอบการ และประเทศแคนาดาของเราไปด้วยกัน
แต่ในทางกลับกัน สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ (UAW) แสดงท่าทีเห็นด้วยกับการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ของทรัมป์ เพราะมองว่าข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ทำลายโอกาสการมีงานทำของแรงงานสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมดังกล่าว โดย ชอว์น เฟน (Shawn Fain) ประธานสหภาพฯ ออกแถลงการณ์ระบุว่า ภาษีศุลกากรเป็นก้าวสำคัญในทิศทางที่ถูกต้องสำหรับแรงงานในอุตสาหกรรมรถยนต์และชุมชนแรงงานทั่วประเทศ และขณะนี้เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตรถยนต์ที่จะนำงานสหภาพแรงงานที่ดีกลับคืนสู่สหรัฐฯ
พื้นฐานทางกฎหมายสำหรับการดำเนินการดังกล่าวคือการสืบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติในปี 2562 ภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมายว่าด้วยการค้า ปี 2505 (Trade Act 1962) เกี่ยวกับการนำเข้ารถยนต์ ซึ่งเริ่มดำเนินการในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก การสืบสวนครั้งนั้นพบว่าการนำเข้ารถยนต์ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ แต่ในขณะนั้นทรัมป์ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อกำหนดภาษีนำเข้า
คำสั่งของทรัมป์ยังรวมถึงการยกเว้นชิ้นส่วนรถยนต์ไว้ชั่วคราวในขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐพิจารณาความซับซ้อนในการนำคำประกาศของเขาไปปฏิบัติจริง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเร่งรีบในการจัดเก็บภาษีใหม่ โดยคำสั่งยกเว้นชิ้นส่วนรถยนต์ที่เป็นไปตามข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ซึ่งทรัมป์ได้เจรจาไว้ในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรก ข้อตกลงนี้อนุญาตให้มีการค้าปลอดภาษีเป็นส่วนใหญ่ระหว่างสหรัฐฯ และหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ 2 รายดังกล่าว
แฮร์ริสัน ฟิลด์ส (Harrison Fields) รองโฆษกทำเนียบขาว โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า ชิ้นส่วนรถยนต์ที่เป็นไปตามข้อตกลง USMCA จะยังคงปลอดภาษีจนกว่ารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จะหารือกับสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) เพื่อกำหนดกระบวนการในการเรียกเก็บภาษีกับชิ้นส่วนที่ไม่ได้มาจากสหรัฐฯ ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวยังยกเว้นการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ ทั้งหมดจนถึงวันที่ 3 พ.ค. 2568
แบรด เซ็ตเซอร์ (Brad Setser) อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันทำงานให้กับสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวว่า รถยนต์จากแคนาดาและเม็กซิโกราว 4 ล้านคันต้องเผชิญภาษีนำเข้าร้อยละ 25 หรือมากกว่านั้น จึงน่าจะส่งผลให้ราคารถยนต์ในสหรัฐฯ สูงขึ้นและยอดขายรถยนต์ในสหรัฐฯ ลดลงสักระยะหนึ่ง แต่ภาษีศุลกากรดังกล่าวถือเป็นการละเมิดข้อตกลง USMCA อย่างชัดเจน และตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีของเกาหลีใต้อีกด้วย ทั้งนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจมีความสำคัญ พร้อมระบุว่าการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปของสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับจุดเปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ
สหรัฐฯ นำเข้าผลิตภัณฑ์ยานยนต์มูลค่า 474,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 รวมถึงรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมูลค่า 220,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเม็กซิโก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา และเยอรมนี ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุด อนึ่ง ก่อนหน้าที่ทรัมป์จะประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ หุ้นของผู้ผลิตรถยนต์ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ร่วงลง เนื่องจากมีความกังวลว่าภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก ซึ่งกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนอยู่แล้วจากท่าทีของทรัมป์ที่ขึ้นๆ ลงๆ เรื่องนโยบายภาษีนำเข้า
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดลดลงจากความกังวลเรื่องภาษีศุลกากรที่กดดันนักลงทุนในช่วงเดือนที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 (.SPX) ลดลงร้อยละ 1.1 ก่อนการแถลงข่าว และลดลงมากกว่าร้อยละ 4 ในเดือน มี.ค. 2568 ซึ่งถือเป็นผลงานรายเดือนที่แย่ที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี ซึ่งตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 ทรัมป์ได้ประกาศและเลื่อนการขึ้นภาษีศุลกากรต่อแคนาดาและเม็กซิโก โดยอ้างว่าทั้ง 2 ประเทศ มีส่วนในการอนุญาตให้เฟนทานิลซึ่งเป็นสารโอปิออยด์เข้าสู่สหรัฐฯ
ผู้นำสหรัฐฯ กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนด้วยเหตุผลเดียวกัน กำหนดภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมในปริมาณมหาศาล และได้กล่าวถึงแผนการที่จะประกาศกำหนดภาษีศุลกากรแบบ “ยื่นหมูยื่นแมว (Reciprocal)” ทั่วโลกในวันที่ 2 เม.ย. 2568 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และสำหรับการประกาศในวันที่ 2 เม.ย. 2568 ทรัมป์เปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าวอาจไม่ใช่มาตรการแบบเดิมที่เขาเคยให้คำมั่นว่าจะบังคับใช้ โดยทรัมป์กล่าวว่า ตนจะทำให้ผ่อนปรนมากขึ้น และคิดว่าผู้คนจะประหลาดใจมาก เพราะในหลายกรณี มาตรการดังกล่าวจะน้อยกว่าภาษีที่ชาติต่างๆ เรียกเก็บจากสหรัฐฯ มานานหลายทศวรรษ
ตามข้อมูลของศูนย์วิจัยยานยนต์ คาดว่าภาษีรถยนต์อัตราใหม่จะทำให้ต้นทุนของรถยนต์สำหรับผู้บริโภคสูงขึ้นหลายพันเหรียญสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ใหม่ และส่งผลให้มีการเลิกจ้าง เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯ พึ่งพาชิ้นส่วนนำเข้าเป็นอย่างมาก
ขณะที่ เจนนิเฟอร์ ซาฟาเวียน (Jennifer Safavian) ประธานและซีอีโอของ Autos Drive America ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่เป็นตัวแทนของผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติ ออกแถลงการณ์ระบุว่า ในช่วงเวลาที่ต้นทุนเป็นข้อกังวลอันดับหนึ่งสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ชาวอเมริกัน ผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ กำลังพยายามจัดหารถยนต์ราคาไม่แพงสำหรับผู้บริโภค แต่ภาษีที่กำลังจะบังคับใช้ในปัจจุบันนี้จะทำให้การผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในสหรัฐฯ มีราคาแพงขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่ราคาที่สูงขึ้น ผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง และงานด้านการผลิตในสหรัฐฯ ก็มีน้อยลง
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.reuters.com/world/us/trump-ratcheting-up-trade-war-presses-ahead-with-auto-tariffs-2025-03-26/
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี