5 เมษายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า จากกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐประกาศว่าสหรัฐจะใช้ภาษีศุลกากรขั้นต่ำ 10% กับผู้ส่งออกทั้งหมดไปยังสหรัฐและกำหนดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับประเทศต่างๆ ประมาณ 60 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุด ซึ่งรวมถึงอัตราภาษีที่สูงขึ้นอย่างมากกับคู่ค้ารายใหญ่บางรายของประเทศ เช่น จีน (ซึ่งทำให้ขณะนี้โดนภาษีอย่างน้อย 54% สำหรับสินค้าหลายรายการ)  รวมถึงสหภาพยุโรปและเวียดนาม ขณะที่ไทยจะโดนเก็บที่อัตรา 37 %

ความคืบหน้าล่าสุดนายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ (Pedro Sanchez) ของสเปน ประกาศว่า รัฐบาลจะจัดสรรเงิน 14,100 ล้านยูโร เพื่อปกป้องธุรกิจและแรงงานของประเทศ และสร้างความแน่นอนท่ามกลางความไม่แน่นอน ตลอดจนบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ โดยเงิน 7,400 ล้านยูโรจะเป็นงบก้อนใหม่ ส่วนอีก 6,700 ล้านยูโรมาจากแหล่งที่มีอยู่แล้ว เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

นอกจากนี้เขาเสนอให้คณะกรรมาธิการยุโรปตั้งกองทุนด้วยเงินรายได้จากภาษีศุลกากรที่เก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และจะปรับสูงขึ้นเพื่อตอบโต้การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นมิตรและไม่สมเหตุผล และขอให้ฝ่ายบริหารของอียูอนุญาตให้ประเทศสมาชิกสามารถจัดสรรเงินช่วยเหลือครั้งใหญ่สำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ อาทิเช่น อุตสาหกรรมรถยนต์