7 เม.ย. 2568 (ปักกิ่ง , ซินหัว 4 เม.ย. 2568)  เขตอี้โจว เมืองเหอฉือ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน เดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมปลูกหม่อนเลี้ยงไหมสมัยใหม่โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นพลังขับเคลื่อนหลัก มุ่งสู่การเติบโตเชิงคุณภาพในภาคอุตสาหกรรม

ปัจจุบัน อี้โจวเป็นหนึ่งในฐานการผลิตรังไหมขนาดใหญ่ที่สุดของจีน ครอบคลุมพื้นที่ปลูกหม่อนกว่า 26,400 เฮกตาร์ (ราว 165,000 ไร่) และมีกำลังการผลิตรังไหมปีละ 109,000 ตัน สร้างรายได้ให้ท้องถิ่นราว 5.6 พันล้านหยวนต่อปี (ราว 2.62 หมื่นล้านบาท) โดยครองตำแหน่งอันดับหนึ่งของประเทศด้านปริมาณรังไหมสดติดต่อกัน 19 ปี

ภายในโรงงานสาวไหมในท้องถิ่น มีการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติแทนแรงงานฝีมือแบบดั้งเดิม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพไหม โดยเฉพาะหลังจากนำสิทธิบัตรด้านเทคโนโลยีกว่า 64 รายการ และอุปกรณ์ขั้นสูงเกือบ 70 ชนิดมาใช้ เช่น เครื่องวางหนอนไหมลงในถาดสร้างรังแบบอัตโนมัติ และระบบเก็บรังไหมอัจฉริยะ

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากการสนับสนุนด้านนวัตกรรมและวิทยาศาสตร์ของกว่างซี โดยอี้โจวมีเป้าหมายสร้างคลัสเตอร์อุตสาหกรรมหม่อนไหมที่มีมูลค่าการผลิตแตะ 1 แสนล้านหยวนต่อปี (ราว 4.69 แสนล้านบาท) พร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ผสานเทคโนโลยีขั้นสูงทั้งจากในและต่างประเทศ สู่การผลิตที่เน้นคุณภาพสูง ระบบอัตโนมัติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การทอผ้าไหมด้วยเครื่องจักรที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (CNC) ช่วยให้อี้โจวสามารถผลิตผ้าไหมจ้วงทอลายแบบเต็มผืนได้เป็นครั้งแรก อีกทั้งไหมดิบคุณภาพสูงของท้องถิ่นยังถูกใช้เป็นวัตถุดิบหลักของแบรนด์หรูระดับโลก

นอกจากนี้ อี้โจวยังใช้ประโยชน์จากผลพลอยได้ของการเลี้ยงไหมอย่างครอบคลุม ทั้งใบหม่อน กิ่งหม่อน และมูลไหม ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ยา อาหารสัตว์ ปุ๋ยอินทรีย์ และภาคส่วนอื่น ๆ ก่อให้เกิดห่วงโซ่อุตสาหกรรมในรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน

เพื่อเสริมแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น อี้โจวยังเปิดเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไหมหลากหลายรูปแบบ ผสานอุตสาหกรรมไหมเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พร้อมตั้งเป้าพัฒนานวัตกรรมต่อเนื่อง เพื่อเศรษฐกิจท้องถิ่นที่เติบโตอย่างยั่งยืน

(เรียบเรียงโดย Duan Jing, Xinhua Silk Road, https://en.imsilkroad.com/p/344913.html)

(ภาพจากศูนย์สื่อบูรณาการเขตอี้โจว : สายการผลิตผ้าไหมจ้วงทอลายแบบเต็มผืนสายแรกในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง)

043...