9 เม.ย. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว 'Boys will be boys': White House on Elon Musk-Peter Navarro tariff tiff ระบุว่า 2 ทีมงานคนสนิทของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เปิดศึกซัดวิวาทะกันเองเสียแล้ว ระหว่าง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) มหาเศรษฐี ซีอีโอของ Tesla , SpaceX และแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ X ซึ่งเข้าไปช่วยงานทรัมป์ด้านการจัดระเบียบและเพิ่มประสิทธิภาพงานภาครัฐในส่วนของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (DOGE) กับ ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) ที่ปรึกษาด้านการค้าซึ่งทำงานให้ทรัมป์มาอย่างยาวนาน

เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 7 เม.ย. 2568 เมื่อนาวาร์โรไปให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ของสหรัฐฯ โดยเปิดเผยว่า ตนปฏิเสธคำขอของมัสก์ที่ต้องการให้สหรัฐฯ กับยุโรป มีสถานะ “ภาษีเป็นศูนย์”  ระหว่างกันและกัน พร้อมกับชี้ว่า มัสก์ในฐานะซีอีโอบริษัทเทสลาซึ่งผลิตรถยนต์ที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนนำเข้า แต่ตนนั้นต้องการให้ชิ้นส่วนต่างๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ผลิตขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวทำให้มัสก์ไม่พอใจอย่างรุนแรง โดยสะท้อนผ่านถ้อยคำที่เจ้าตัวโพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X

“นาวาร์โรเป็นคนโง่จริงๆ สิ่งที่เขาพูดเป็นเท็จอย่างชัดเจน เทสลาเป็นรถยนต์ที่ผลิตในอเมริกามากที่สุด นาวาร์โรโง่กว่ากระสอบอิฐเสียอีก" มัสก์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 8 เม.ย. 2568 แคโรไลน์ ลีวิตต์ (Karoline Leavitt) โฆษกทำเนียบขาว ได้กล่าวถึงวิวาทะของทั้ง 2 คนว่า มีมุมมองที่แตกต่างกันเรื่องนโยบายภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มๆ เขา และเราก็จะปล่อยให้พวกเขาถกเถียงกันต่อหน้าสาธารณชนต่อไป  และยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า การถกเถียงให้สาธารณชนรับรู้แบบนี้ เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสของรัฐบาล และความเต็มใจของประธานาธิบดีที่จะรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า นาวาร์โรถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นสถาปนิกของแผนภาษีศุลกากรที่ครอบคลุมของทรัมป์ นโยบายดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูการผลิตของสหรัฐฯ และเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ แต่กลับส่งผลกระทบต่อตลาดและทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเกิดความไม่แน่นอน

ขอบคุณเรื่องจาก

https://www.reuters.com/world/us/boys-will-be-boys-white-house-elon-musk-peter-navarro-tariff-tiff-2025-04-08/

043...