9 เมษายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง ของสิงคโปร์ แถลงต่อรัฐสภาว่า เตรียมตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจแห่งชาติขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจและแรงงานในการรับมือกับผลกระทบจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่กำหนดใช้กับทุกประเทศ รวมถึงสิงคโปร์ที่ 10% นั้นถือเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งและไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนควรปฏิบัติต่อกัน
นายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง ชี้ว่ามาตรการภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งจะฉุดรั้งความต้องการสินค้าส่งออกของสิงคโปร์ นอกจากนี้ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคบริการ เช่น การเงินและการประกันภัยด้วย แม้สิงคโปร์จะยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปีนี้แต่เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบอย่างหนักแน่นอน และกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์กำลังทบทวนการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ที่ 1-3% และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลง พร้อมเตือนว่าผลกระทบของมาตรการภาษีทรัมป์จะทำให้โอกาสในการทำงานลดน้อยลงและการขึ้นค่าจ้างน้อยลงและว่าหากบริษัทต่างๆ ประสบปัญหามากขึ้นหรือย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ ก็จะมีการเลิกจ้างและการสูญเสียงานที่สูงขึ้น
เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่ผันผวนนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจแห่งชาติขึ้นมา นำโดยรองนายกรัฐมนตรีกาน คิม ยงและจะผนึกกำลังกับตัวแทนจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของรัฐ สภาธุรกิจสิงคโปร์ สภานายจ้างแห่งสิงคโปร์ และสหภาพแรงงานแห่งชาติ เพื่อช่วยเหลือธุรกิจและแรงงานในการจัดการกับความไม่แน่นอน เสริมสร้างความแข็งแกร่ง และปรับตัวสู่ภูมิทัศน์เศรษฐกิจใหม่
พร้อมกันนี้ 'นายกฯสิงคโปร์' ยังวิจารณ์แนวทางของสหรัฐฯ ว่าขัดต่อหลักการพื้นฐานขององค์การการค้าโลก (WTO) ถึงแม้ประเทศสิงค์โปร์จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก 'สิงคโปร์ยืนยันว่าจะไม่ใช้มาตรการภาษีตอบโต้เหมือนกับบางประเทศ' แต่จะมุ่งเน้นการเจรจาและการเสริมสร้างจุดแข็งในฐานะศูนย์กลางธุรกิจที่น่าเชื่อถือและกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีแนวคิดเดียวกัน โดยเฉพาะภายในประชาคมอาเซียน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะประเทศอื่นๆ อาจดำเนินรอยตามเพื่อปกป้องอุตตสาหกรรมของตนเอง ทำให้ความเป็นไปได้ของสงครามการค้าโลกเต็มรูปแบบกำลังเพิ่มสูงขึ้น
'นายกฯสิงคโปร์' มองว่ากระแสการปกป้องทางการค้าที่เกิดขึ้นใหม่นี้เป็นภัยคุกคามต่อบรรทัดฐานและสถาบันระดับโลก โดยมีประเทศต่างๆ หันเหจากความร่วมมือแบบ "win-win" ไปสู่แนวคิด "me first, win-lose" พร้อมกันนี้ยังแสดงความกังวลต่อความสัมพันธ์ที่เสื่อมถอยระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลังจากจีนกล่าวว่าจะ "ต่อสู้ให้ถึงที่สุด" และทรัมป์ก็ได้เพิ่มภาษีต่อจีนต่อไปส่งผลให้ช่องทางสำหรับการเจรจาน้อยลง 'นายกฯสิงคโปร์' ย้ำว่าหากข้อพิพาททวีความรุนแรงขึ้นและทำให้ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนสั่นคลอน ผลที่ตามมาต่อโลกจะร้ายแรงอย่างยิ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี