11 เม.ย. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Beijing bites back at US tariffs by curbing Hollywood imports ระบุว่า หนึ่งในมาตรการที่ทางการจีนงัดออกมาใช้ตอบโต้กรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนที่จะนำเข้าไปขายในสหรัฐฯ ในอัตรามหาโหด คือการจำกัดโควตาภาพยนตร์จากสหรัฐฯ หรือฮอลลีวู้ด ที่จะเข้าไปฉายในจีน ตามการประกาศล่าสุดของฝ่ายจีนเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2568
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมกล่าวว่าผลกระทบทางการเงินน่าจะน้อยมาก เนื่องจากรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศของฮอลลีวู้ดในจีนลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ หลังจากที่จีนนำเข้าภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดปีละ 10 เรื่องมาเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ ล่าสุดสำนักงานบริหารภาพยนตร์แห่งชาติปักกิ่ง ได้กล่าวว่า มาตรการภาษีของทรัมป์จะยิ่งทำให้ความต้องการภาพยนตร์สหรัฐฯ ในจีนลดลง โดยระบุในเว็บไซต์ว่า เราจะปฏิบัติตามกฎของตลาด เคารพการเลือกของผู้ชม และลดจำนวนภาพยนตร์อเมริกันที่นำเข้าลงเล็กน้อย
สตูดิโอฮอลลีวู้ดเคยมองว่าจีนซึ่งเป็นตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก จะช่วยกระตุ้นรายได้ของภาพยนตร์ แต่ภาพยนตร์ในประเทศกลับทำรายได้แซงหน้าภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดในจีนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2568 แอนิเมชันจากจีนอย่าง "Ne Zha 2 (นาจา 2)" แซงหน้าแอนิเมชันจากสหรัฐฯ ของค่ายพิกซาร์ อย่าง "Inside Out 2 (มหัศจรรย์อารมณ์อลเวง 2)" และกลายเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล
คริส เฟนตัน (Chris Fenton) ผู้เขียนหนังสือ "Feeding the Dragon: Inside the Trillion Dollar Dilemma Facing Hollywood, the NBA, and American Business" กล่าวว่า การจำกัดจำนวนภาพยนตร์ที่สร้างในสหรัฐฯ เป็นวิธีที่โดดเด่นมากในการตอบโต้ของจีนโดยแทบไม่มีผลเสียต่อจีนเลย เนื่องจากปัจจุบันภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5 ของรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งหมดในตลาดจีน และสตูดิโอฮอลลีวู้ดมีรายได้จากการขายตั๋วเพียงร้อยละ 25 ในจีน น้อยกว่าถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ การลงโทษฮอลลีวู้ดอย่างโดดเด่นเช่นนี้เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อชัยชนะของจีน ซึ่งสหรัฐฯ จะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมบันเทิงรายหนึ่งคาดการณ์ว่าภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดฟอร์มยักษ์ที่ยังคงดึงดูดผู้ชมในจีนได้อย่างต่อเนื่องอาจยังคงเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ได้ เช่น ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เรื่อง “Thunderbolts” ของวอลต์ ดิสนีย์ – มาร์เวล ที่เปิดตัวในซีซันภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของฤดูร้อน ได้รับอนุญาตให้ฉายในจีนในวันที่ 30 เม.ย. 2568 แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจีนจะอนุมัติการเข้าฉายภาพยนตร์สำคัญเรื่องอื่นๆ ในช่วงฤดูร้อนนี้หรือไม่
เช่น “Mission Impossible — The Final Reckoning (มิชชั่น: อิมพอสซิเบิ้ล ปิดปฏิบัติการล่าพิกัดมรณะ)” ของ Paramount ซึ่งอาจเป็นภาพยนตร์ที่ปรากฏตัวครั้งสุดท้ายของดาราดังอย่าง ทอม ครูซ (Tom Cruise) ในแฟรนไชส์ที่ตัวเขาแสดงนำมาอย่างยาวนานเรื่องนี้, ภาพยนตร์เรื่อง “Superman (ซูเปอร์แมน)” เรื่องใหม่ของ Warner Bros ที่สร้างโดย เจมส์ กันน์ (James Gunn) ที่ย้ายมาทำหนังซูเปอร์ฮีโร่จากค่าย DC หลังจากที่โด่งดังกับผลงานก่อนหน้านี้จากค่ายมาร์เวลอย่าง “Guardians of the Galaxy (รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล)” รวมถึงฝั่งมาร์เวลมีโปรแกรมภาพยนตร์เรื่อง “The Fantastic Four (เดอะ แฟนแทสติก โฟร์: จุดเริ่มต้นปฐมบทใหม่)”
IMAX คาดว่าโรงหนังขนาดใหญ่ของบริษัท ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด จีน และต่างประเทศ จะไม่ได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดดังกล่าวมากนัก โฆษกของ IMAX ออกแถลงการณ์ระบุว่า เราคาดว่า IMAX ในจีนจะมีปีที่แข็งแกร่งต่อไป โดยทำรายได้ในไตรมาสแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในประเทศ ขณะที่ เซธ เชเฟอร์ (Seth Shafer) นักวิเคราะห์หลักของ S&P Global Market Intelligence Kagan คาดการณ์ว่าข้อจำกัดดังกล่าวจะมีผลกระทบในวงจำกัด
“ปัจจุบันภาพยนตร์ที่เข้าฉายในจีนมีเพียงแค่ประมาณ 25% เท่านั้น และเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องมาจากการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นจากอุตสาหกรรมการผลิตภาพยนตร์ในประเทศจีน สำหรับภาพยนตร์ในประเทศที่เข้าฉายในจีน รายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกของภาพยนตร์นั้นมักจะมาจากจีนไม่ถึงร้อยละ 10%” เชเฟอร์ กล่าว
“Captain America: Brave New World (กัปตันอเมริกา: ศึกฮีโร่จักรวาลใหม่)” ภาพยนตร์ของมาร์เวลที่เข้าฉายในเดือนก.พ.2568 ทำรายได้ในจีนไป 14.4 ล้านเหรียญสหรัฐ จากรายรับทั่วโลก 413 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ในอดีต ภาพยนตร์นำเข้าอย่าง “ไททานิค (Titanic)” และ “อวตาร (Avatar)”" กลายมาเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดในตลาดจีน ทำให้ดาราอย่างลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) และผู้กำกับอย่างเจมส์ คาเมรอน (James Cameron) กลายเป็นที่รู้จักในหมู่แฟนภาพยนตร์จีนจากทุกยุคทุกสมัย
กระทั่งในปี 2563 ภาพยนตร์ที่สร้างในจีนมีสัดส่วนรายได้ต่อปีประมาณร้อยละ 80 อย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นจากประมาณร้อยละ 60 ในช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่ในรายชื่อภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลของจีน มีภาพยนตร์นำเข้าจากต่างประเทศเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ติด 20 อันดับแรก ซึ่งก็คือ “Avengers: Endgame (อเวนเจอร์ส: เผด็จศึก)" โดยทำรายได้ 4.25 พันล้านหยวน (579.83 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภาพยนตร์ที่เหลือใน 20 อันดับแรกล้วนเป็นผลงานการผลิตในประเทศ
ขอบคุณเรื่องจาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/inter/876430 เดือดได้อีก!! 'ทรัมป์'ซัดกลับประกาศขึ้นภาษี'จีน'125% ตอบโต้ท่าทีแข็งกร้าว
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี