29 เม.ย. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Trump to reduce impact of auto tariffs, commerce secretary says ระบุว่า ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2568 โดยอ้างการเปิดเผยของ โฮเวิร์ด ลุตนิค (Howard Lutnick) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จะดำเนินการลดผลกระทบจากภาษีนำเข้ายานยนต์ในวันที่ 29 เม.ย. 2568 โดยจะลดภาษีบางส่วนที่เรียกเก็บกับชิ้นส่วนนำเข้าต่างประเทศที่นำมาใช้ประกอบเป็นรถยนต์ในโรงงานที่ตั้งอยู่ภายในสหรัฐฯ และรักษาภาษีนำเข้าของรถยนต์ที่ผลิตในต่างประเทศไม่ให้สูงเกินภาษีอื่นๆ
“ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังสร้างความร่วมมือที่สำคัญกับทั้งผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศและคนงานชาวอเมริกันที่ยอดเยี่ยมของเรา ข้อตกลงนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของนโยบายการค้าของประธานาธิบดี โดยให้รางวัลแก่บริษัทที่ผลิตในประเทศ ขณะเดียวกันก็ให้ลู่ทางแก่ผู้ผลิตที่แสดงความมุ่งมั่นในการลงทุนในอเมริกาและขยายการผลิตในประเทศ” รมว.พาณิชย์สหรัฐฯ กล่าว
นสพ.วอลล์สตรีทเจอร์นัล ซึ่งเป็นผู้รายงานความคืบหน้าดังกล่าวเป็นแห่งแรก อธิบายว่า การดำเนินการนี้หมายถึงบริษัทผลิตรถยนต์ที่จ่ายภาษีจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีประเภทอื่นๆ เช่น ภาษีเหล็กและอลูมิเนียม และจะมีการคืนเงินสำหรับภาษีที่จ่ายไปแล้ว ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยืนยันรายงานดังกล่าว และระบุว่าการดำเนินการจะประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 เม.ย. 2568
ทรัมป์มีกำหนดการเดินทางไปรัฐมิชิแกนในวันที่ 29 ม.ย. 2568 เพื่อร่วมฉลอง 100 วันแรกของการทำงานในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันใช้พลิกกลับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวเพื่อผ่อนปรนผลกระทบของภาษีรถยนต์เป็นการเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลทรัมป์ที่แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการเก็บภาษี ซึ่งก่อให้เกิดความวุ่นวายในตลาดการเงิน สร้างความไม่แน่นอนให้กับธุรกิจ และจุดชนวนความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรง
ในช่วงเช้าของวันที่ 28 เม.ย. 2568 บรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ระบุว่า คาดหวังให้ทรัมป์ออกมาตรการผ่อนปรนภาษีรถยนต์ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังมิชิแกน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทผลิตรถยนต์ดีทรอยต์ 3 แห่งและซัพพลายเออร์รถยนต์รายใหญ่กว่า 1,000 ราย โดย แมรี บาร์รา (Mary Barra) ซีอีโอของเจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) และจิม ฟาร์ลีย์ (Jim Farley) ซีอีโอของฟอร์ด ชื่นชมการเปลี่ยนแปลงที่วางแผนไว้
โดย บาร์รา กล่าวว่า เราเชื่อว่าความเป็นผู้นำของประธานาธิบดีกำลังช่วยปรับสมดุลให้กับบริษัทต่างๆ และทำให้สามารถลงทุนในเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้มากขึ้น ขณะที่ ฟาร์ลีย์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อผู้ผลิตรถยนต์ ซัพพลายเออร์ และผู้บริโภค
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่าตนวางแผนที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ร้อยละ 25 โดยจะเริ่มบังคับใช้เป็นอย่างช้าไม่เกินวันที่ 3 พ.ค. 2568 แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ผู้นำสหรัฐฯ ไม่เรียกเก็บภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ร้อยละ 25 โดยเตือนว่าจะทำให้ยอดขายลดลงและต้องปรับขึ้นราคา
กลุ่มธุรกิจยานยนต์ อาทิ GM โตโยต้า โฟล์คสวาเกน ฮุนได ออกจดหมายเปิดผนึกร่วมกัน ส่งถึง เจมิสัน กรีร์ (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ , สก็อต เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ และ โฮเวิร์ด ลุตนิค รมว.พาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า ภาษีศุลกากรชิ้นส่วนรถยนต์จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ทั่วโลกและก่อให้เกิดผลกระทบแบบโดมิโนซึ่งจะส่งผลให้ราคาชิ้นส่วนรถยนต์สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค ยอดขายที่ตัวแทนจำหน่ายลดลง และจะทำให้การซ่อมบำรุงและซ่อมแซมรถยนต์มีราคาแพงขึ้นและคาดเดาได้ยากขึ้น
“ซัพพลายเออร์รถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ได้รับเงินทุนเพียงพอสำหรับการหยุดชะงักที่เกิดจากภาษีศุลกากรอย่างกะทันหัน หลายๆ รายอยู่ในภาวะที่เดือดร้อนอยู่แล้วและจะเผชิญกับการหยุดการผลิต การเลิกจ้าง และการล้มละลาย เพียงแค่ซัพพลายเออร์รายเดียวที่ล้มเหลวก็สามารถนำไปสู่การปิดสายการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งได้” ข้อตวามในจดหมายของกลุ่มธุรกิจยานยนต์ ระบุ
ขอบคุณเรื่องจาก
053...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี