สาธิตการช่วยชีวิตและการดูแลผู้ป่วยเด็กวิกฤติ (กู้วิกฤติ ชีวิตเด็ก)
หน่วยหออภิบาลผู้ป่วยเด็กวิกฤติ (ICU) ศูนย์กุมารเวชกรุงเทพ และศูนย์อุบัติเหตุกรุงเทพ จัดงาน “การช่วยชีวิตและการดูแลผู้ป่วยเด็กวิกฤติ (กู้วิกฤติ ชีวิตเด็ก)” เพื่อร่วมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเด็กพร้อมแนะวิธีการช่วยเหลือปฐมพยาบาลและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเด็กวิกฤติอย่างถูกวิธี ตลอดจนขอบเขตในการรักษาของหออภิบาลผู้ป่วยเด็กวิกฤติ โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดความสูญเสียได้
พญ.สมจินตนา เอี่ยมสรรพางค์
พญ.สมจินตนา เอี่ยมสรรพางค์ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่าอุบัติเหตุและภาวะวิกฤติ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา โรงพยาบาลกรุงเทพ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กวิกฤติในแต่ละสถานการณ์ ในประเทศไทยพบว่า สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปีคือ การจมน้ำ เมื่อเทียบกับทุกสาเหตุทั้งโรคติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ และเป็นอันดับ 3 ของโลก เด็กจมน้ำ มักเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงภายในบ้าน เช่น จมถังน้ำ อ่างอาบน้ำ กะละมัง หรือไม่ก็อาจจะจมน้ำในแหล่งน้ำรอบๆ บ้าน เช่น คูน้ำหลังบ้าน บ่อน้ำ หรือสระว่ายน้ำ เด็กที่จมน้ำจะขาดอากาศหายใจ หากเกิน 4-5 นาที สมองจะเกิดภาวะสมองตายซึ่งไม่สามารถกลับฟื้นได้ ทำให้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพตลอดชีวิต เด็กจมน้ำส่วนใหญ่จะเสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล
“ทางที่ดีที่สุดพ่อแม่ควรป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์จมน้ำเกิดขึ้น และหากเกิดขึ้นเด็กจะต้องได้รับการปฐมพยาบาลและปฏิบัติการกู้ชีพเบื้องต้นที่ถูกต้องและรวดเร็วที่สุด คือการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (BLS) คือการช่วยเหลือผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น ให้มีการหายใจและการไหลเวียนกลับคืนสู่สภาพเดิม ป้องกันเนื้อเยื่อได้รับอันตรายจากการขาดออกซิเจนอย่างถาวร ซึ่งสามารถทำได้โดยการช่วยกู้ชีพขั้นพื้นฐาน(Basic life support) โดยการปั๊มหัวใจ ให้วางคนจมน้ำนอนราบ ตะแคงหน้าเอาน้ำออกจากปาก และใช้สันมือทั้ง 2 ข้างกดบริเวณกลางหน้าอก ลึกประมาณ 1.5-2 นิ้ว และช่วยในการเป่าปาก 2 ครั้ง ในกรณีมีผู้ช่วยเหลือ 2 คน ในเหตุการณ์) จนครบ 2 นาที และรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน หรือโทร.แจ้ง 1669 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน หรือโทร.1719 ของรพ.กรุงเทพ เพื่อตามเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือแล้วรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาต่ออย่างรวดเร็ว”
พญ.ดาริน บรรจงศิลป์
พญ.ดาริน บรรจงศิลป์ กุมารแพทย์โรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤติ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ผู้ป่วยเด็กที่อยู่ในภาวะวิกฤติ มีการเจ็บป่วยรุนแรง มีทั้งผู้ป่วยที่มีปัญหาทางอายุรกรรมและศัลยกรรม รวมทั้งผู้ป่วยเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุต่างๆ เช่น จมน้ำ พลัดตกหกล้ม การได้รับสารพิษ หรืออุบัติเหตุทางการจราจรต่างๆ ภาวะวิกฤติทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ป่วยเด็กทั่วไป ผู้ป่วยเด็กเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและการดูแลรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที บางรายต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจ บางรายอาจจำเป็นต้องให้การปฏิบัติการกู้ชีวิต การรักษาจึงจำเป็นต้องอาศัยบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ตลอดจนเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทันสมัยมาใช้เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
พญ.เสาวนีย์ ชัยศุภรัศมีกุล
พญ.เสาวนีย์ ชัยศุภรัศมีกุล กุมารแพทย์โรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางโรงพยาบาลมีทีมแพทย์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยเด็กที่มีประสบการณ์และผ่านการอบรมหลักสูตร Pediatric Advanced Life Support (PALS) หลักสูตรสำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กที่อยู่ในภาวะวิกฤติ มีการเจ็บป่วยรุนแรง ด้วยเหตุนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพ จึงมีระบบการส่งต่อผู้ป่วยเด็ก (Pediatric Transportation) ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งทางอากาศและทางบก โดยเน้นคุณภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการส่งต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการเจ็บป่วยรุนแรงและในผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการบาดเจ็บหลายระบบ เนื่องจากการส่งต่อผู้ป่วยเด็กแตกต่างจากการส่งต่อผู้ใหญ่ในบางเรื่องซึ่งมีความจำเพาะ ต้องอาศัยความละเอียด ประสบการณ์ รวมถึงอุปกรณ์ ยา เครื่องมือต่างๆ ที่เฉพาะกับผู้ป่วยเด็ก โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยในการส่งต่อผู้ป่วยเด็กให้มีความรวดเร็ว ฉับไว มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการส่งต่อผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤติไปสู่ระดับการดูแลที่สูงขึ้น ทั้งนี้ สามารถติดต่อศูนย์กุมารเวชกรุงเทพ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่หมายเลข 1719
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี