เป็นสถาปนิกด้านการศึกษา ที่ไม่ใช่แค่การสร้างตึกสร้างโรงเรียนเท่านั้น แต่ ลุงดิส ของเด็กๆ หรือ “ดิสสกร กุนธร” ยังมองเห็นพัฒนาการของเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติได้อย่างแตกฉานอีกด้วย ทางรายการ “ผู้หญิงแนวหน้ากับคุณแหน” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางสถานี TNN2 ช่อง 784 ช่วง Focus On พิธีกร “ขิม-ทิพย์ลดา พูนศิริวงศ์” จึงไม่พลาดโอกาสดีๆ นี้ตามไปพูดคุยถึงบ้านกันเลยทีเดียว
ลุงดิส-ดิสสกร กุนธร เล่าว่า “จริงๆ แล้วผมเป็นสถาปนิก ส่วนมากก็จะทำเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาโรงเรียน แต่ที่ทำมาเป็นตึก แต่ตอนนี้เราจะมาทำถึงวิธีการศึกษาเลย บทเรียนทั้งหลายผมจบมาจากฮาร์เวิร์ด หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ ก็หาประสบการณ์ที่โน่น ก็ทำงานสถาปัตย์นี่แหละครับ ทำหลายอย่าง และที่ทำหลายที่ก็คือพวกโรงเรียน เพราะฉะนั้นพอกลับมาเมืองไทยแล้วก็ทำที่โรงเรียน
ก็เลยเกิดโปรเจกท์สนามเด็กเล่นเพื่อพัฒนาการศึกษาขึ้น
แรงบันดาลใจที่ทำโปรเจกท์นี้ ผมทำมาประมาณสัก 10 กว่าปีได้ ซึ่งจริงๆ แล้วเราจะเริ่มที่โรงเรียนสาธิต คือ ประถมสาธิตประสานมิตร เพราะว่าตัวปัญหาของเขาคือ ตอนนั้นรัฐบาลต้องการที่จะสร้างโรงเรียนชนิดใหม่ ที่จะเปลี่ยนเด็กให้เป็นเด็ก ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง
เราก็เลยออกแบบว่าโรงเรียนแบบใหม่เขาเรียกว่า ฉันทะศึกษา จะต้องเป็นคนดีมีวัฒนธรรม คิดเป็น อันนี้สำคัญ พูดเป็น ทำเป็น ผลิตเป็น ก็คือเป็นนักผลิต ขายเป็น เขาต้องทำหมดทุกอย่าง แล้วสิ่งที่เราเพิ่มมาก็คือ การ “ให้” เป็น เพราะว่าเราได้เห็นแบบอย่างจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงเป็น“ผู้ให้” มาตลอด ฉะนั้นเด็กไทยจะต้องเรียนรู้วิธีให้แล้วก็เด็กจะต้องมีความสุข แล้วก็ภูมิใจในตัวเองอันนี้ก็สำคัญ
สนามฉันทะศึกษา และสนามเด็กเล่นเพื่อการศึกษา ส่วนมากเราออกแบบไว้สำหรับเด็ก 8-10 ปี หรือว่าโตขึ้นกว่านี้หน่อย แต่ก็ยังไม่ได้ออกแบบสำหรับเด็กวัยรุ่น เพราะวัยรุ่นเขาจะเปลี่ยนวิธีการอีกอย่างหนึ่ง ในระหว่างอายุที่ต่างกัน รูปแบบของสนามเด็กเล่นก็จะต่างกันด้วย
หลักการคือ หลักการเกี่ยวกับสมอง การใช้สมอง ซึ่งสมองเป็นทาสของจิตใจเราต้องเอาจิตมาก่อน จิตต้องมีความสุขก่อนทำอย่างไรเด็กถึงจะมีความสุข เด็กที่จะมีความสุข เราก็เรียนทฤษฎีของนักจิตวิทยาเด็ก ก็คือเพียเจต์ ว่าเด็กจะมีความสุข ถ้าได้เล่น แล้วก็ได้รับความรักจากพ่อแม่ที่ดี
แล้วสิ่งที่เราต้องการเห็นก็คือว่า เล่นในธรรมชาติ คือไม่ใช่เล่นในตึก เพราะว่าในธรรมชาติมันจะมีคลื่นจากต้นไม้และดินคลื่นอันนี้เขาเรียกคลื่นอัลฟ่า ซึ่งสามารถทำให้เด็กฉลาดได้ คนรุ่นใหม่อาจจะไม่เข้าใจ คิดว่าอยู่คอนโดมิเนียมแล้วไม่ได้สัมผัสดิน ไม่ได้โดนเชื้อโรค แต่ที่จริงไม่ใช่ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็จะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ และก็จะได้รับคลื่นจากดิน ทำให้เป็นคนที่ฉลาด และสามารถคิดได้ลึกซึ้ง
สำหรับกิจกรรมต่างๆ ในสนาม เรายึดธรรมชาติเป็นหลัก โรงเรียนที่จะนำไปทำ ควรจะมีต้นไม้ใหญ่ๆ ถ้ามีต้นไม้ใหญ่จะง่าย เพราะว่าเราจะไปทำบ้านบนต้นไม้ เราจะทำห้องสมุดลิงอยู่บนต้นไม้ แล้วจากนั้นก็มีที่ปีนขึ้นปีนลง จะมีเชือกมีบันไดลิง มีชิงช้า พวกอย่างนี้เราชำนาญ แล้วก็ต่อเติมเข้าไปได้
แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นมากที่สุดคือเด็กไทยควรจะว่ายน้ำเป็น เพราะว่าปีหนึ่งตกน้ำตายไป 1,000 กว่าคน ก็คือตายทุกวันทั้งๆ ที่เด็กที่ตายอายุ 8 ปีไปแล้ว ซึ่งเป็นเด็กโตเพราะว่าโรงเรียนเราไม่มีสระว่ายน้ำ และสระว่ายน้ำของเรานี่แพงมาก เราก็เลยเสนอสระว่ายน้ำแบบใหม่ ราคา 15,000 บาท แต่ว่าต้องทำกันเอง 15,000 บาทนี่ค่าวัสดุ ว่ายได้ทีละ 30 คน สระว่ายน้ำลักษณะนี้จะเป็นบ่อฉาบปูนขัดมันธรรมดา และน้ำไม่สูงนัก จะสูงประมาณ 60 เซนติเมตร ก็คือเท่าเอว มีความปลอดภัย สิ่งที่ได้แรงบันดาลใจมาคือ สระว่ายน้ำของในหลวง ที่สมเด็จย่าทรงทำให้ ซึ่งถูกกว่าผมคิดว่าราคาไม่กี่พันหรอก เพราะว่าคือ 2X2เท่านั้น
ปัจจุบันสนามเด็กเล่นสร้างปัญญามีหลายแห่งแล้ว ที่สพฐ.สนับสนุนอยู่ก็ 183 แห่งที่เพิ่งเริ่มสร้างกันมาสัก 3-4 เดือน ตอนนี้บางแห่งก็เสร็จไปแล้ว บางแห่งก็กำลังเริ่มสร้าง เราก็ต้องคอยดูผลปลายปีนี้ว่า ใน 183 แห่งนี้มีแห่งไหนประสบความสำเร็จ ซึ่งบางแห่งเสร็จแล้วเด็กๆ ได้เล่นแล้ว เด็กๆ ได้ว่ายน้ำแล้วปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด เพราะว่าเด็กๆ ได้เปิดสมอง แล้วก็ได้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น เด็กๆน่ารักขึ้น ที่ดื้อก็ไม่ดื้อแล้ว
คือเป็นการคลายความเครียด มันขึ้นอยู่กับความเครียดในสมอง ถ้าได้เล่น เขาจะไม่ทำลายของ เพราะว่าเขาได้เล่นแล้ว แต่ถ้าโรงเรียนไม่มีที่เล่น หรือไม่ยอมให้เขาเล่น เขาจะเริ่มซน และดื้อ และทำลายของ พอเปิดสมองแล้วจะเป็นการรับการเรียนการศึกษาให้สมองได้พัฒนาขึ้น และเรียนรู้ได้เร็วขึ้น มันก็เหมือนกับว่าสมองถ้าปิดอยู่ เราจะเอาน้ำหรืออะไรใส่มันก็ใส่ไม่ได้
สนามเด็กเล่นที่สร้างขึ้นมาแล้ว ผลรับที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือ การพัฒนาเป็นไปอย่างก้าวกระโดด เพราะว่าเราไม่เคยเข้าใจเด็ก เพราะเด็กจริงๆ อาชีพของเด็กคือการเล่น แต่การเล่นเนี่ยเราคิดว่าเล่นแล้วเสียเวลา สู้ไปเรียนพิเศษดีกว่า อันนั้นไม่ใช่นะครับ ผู้ปกครองอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเด็กที่ฉลาดต้องเรียนหนังสือเยอะๆ ที่จริงไม่ใช่ เด็กที่ฉลาดคือ ต้องเล่นเยอะ และมีประสบการณ์เยอะแยะ อันนี้เป็นสิ่งที่สมองธรรมชาติของเด็กชอบ ต้องเล่น ต้องปีนต้องป่าย เพราะว่าจะได้พลังใจ พลังกาย พลังกล้ามเนื้อ
เชื่อมั้ยครับมือเรามี 12 นิ้ว 12 ประสาทเพราะมีฝ่ามือด้วย มือเราต้องทำงานอยู่ตลอดเวลาถ้ามีการทำงานด้วยมือเด็กจะฉลาด เพราะว่าการใช้มือตลอดเวลา ทำให้สมองทำงาน แต่ถ้าไปท่องจำอย่างเดียว มันเป็นการลอกเลียนจากในหนังสือ เด็กไม่สามารถจะคิดตำราขึ้นมาใหม่แต่ถ้าเด็กได้ใช้มือเล่น เล่นดิน เล่นทรายเขาเรียกว่าเป็นของเล่นปลายเปิด ก็คือเล่นแล้วทำอะไรก็ได้
ถ้าปลายปิดคือไปซื้ออะไรมาต่อเป็นหุ่นยนต์ ก็ต้องได้หุ่นยนต์ พอได้หุ่นยนต์แล้วก็ต้องไปซื้อตัวใหม่ อันนั้นคือปลายปิด อันนี้คือปลายเปิด ต้นไม้นี่จะทำอะไรก็ได้ เป็นการให้ใช้จินตนาการครึ่งหนึ่ง และของที่มีอยู่ครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นต้นกล้วยก็ดี ต้นไผ่ก็ดี ดิน ทราย น้ำ ลมนี่เป็นจินตนาการหมด แต่สิ่งที่สำคัญอย่าลืมนะครับ ของเล่นเด็กชิ้นใหญ่คือ พ่อแม่ พ่อแม่อย่าลืม ไม่ใช่ไปทำงานหาเงินมา แล้วก็บอกต้องมีเงินก่อนถึงจะส่งลูกเรียน ไม่ใช่นะครับลูกต้องการพ่อแม่มาก เพราะว่าพ่อแม่คือของเล่นของลูก คือสนามเด็กเล่นทั้งหมดอยู่ที่พ่อแม่ อย่าทิ้งลูกนะครับ
จากประสบการณ์ 10 ปีที่ทำสนามเด็กเล่นเสริมปัญญาเด็ก ก็ได้เห็นพัฒนาการเด็กหลายอย่าง สิ่งที่เราปลื้มใจมากนั่นก็คือ เด็กที่พิการ สามารถเล่นในสนามเด็กเล่นแล้วหายพิการซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ นะครับ เด็กคนนี้พิการมาตลอดชีวิต เขามีอายุ 11 ปี เดินไม่ได้ ไปไหนต้องถัดไป
แต่เมื่อได้มาเล่น มาโหน มาทำอะไรแล้ว ปรากฏว่าตอนนี้เขาเดินได้ กระโดดโลดเต้นได้ ทั้งๆ ที่ขายังลีบอยู่ อันนี้เป็นที่น่าชื่นใจ เพราะว่าคุณแม่เขาแทนที่จะเลี้ยงลูกที่พิการไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ได้ลูกคนใหม่ ซึ่งใช้เวลา 2-3 เดือนเท่านั้นเอง เร็วมาก เพราะว่ามันมาจากจิตก่อนเขาเหนี่ยวนำว่าเขาอยากเล่นจริงๆ เขาก็ไปปีนทั้งๆ ที่ขามันปีนไม่ได้ แต่ใช้มือปีน ในที่สุดขยับขาได้ แล้วก็ปีนบันไดเชือก สไลด์ลงน้ำว่ายน้ำได้ ทำอะไรได้
ส่วนเรื่องแผนการในอนาคต ถามว่าวางโครงการเกี่ยวกับสนามเด็กเล่นเสริมปัญญาอย่างไร คือสนามเด็กเล่นพวกนี้เป็นเหมือนกับโรงเรียน คือโรงเรียนของเด็กนะครับ ที่สำคัญเพราะว่ามันกระตุ้นสมอง และกระตุ้นพวกต่อมบางตัว ให้ผลิตกรดที่เราต้องการ ซึ่งจริงๆ ที่เราต้องการคือไม่ให้คนโกง เพราะว่าถ้าผลิตสารที่ดีออกมา เด็กก็ไม่ต้องการที่จะเป็นคนไม่ดี เด็กก็ไม่อยากเป็นคนโกง ไม่อยากจะเป็นคนถูกตำหนิ
แต่ถ้าเราไม่อยากให้เขาเล่น เด็กก็เริ่มทำลายของ และก็เริ่มก่อกวน และก็ไม่เรียนหนังสือ เมื่อนั้นมันจะสร้างสภาวะที่ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะทำลายประเทศเราได้ เพราะฉะนั้นโครงการสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ที่จริงมันน่าจะเริ่มตั้งแต่เด็กยังอยู่ในท้อง แล้วก็เด็กออกมาจากท้อง ตั้งแต่อยู่ในเปล ก็มีสนามเด็กเล่นในเปล แล้วก็ออกมาตัวเล็กๆ จะมีสนามเด็กเล่นสำหรับเด็กน้อย ตั้งแต่ 2-4 ขวบ แล้วก็ไล่อนุบาลมาประถมศึกษา
พอถึงประถมศึกษา สนามเด็กเล่นเริ่มจะต้องค่อนข้างสมบูรณ์ พอถึงขั้นมัธยมศึกษาสนามเด็กเล่นต้องเปลี่ยน เขาต้องโชว์ตัวเขาเองได้แล้วก็ขั้นอุดมศึกษา แล้วก็มาขั้นอย่างผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ต้องเล่นนะครับ เขาเรียกว่า งานอดิเรก
สำหรับใครที่สนใจอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม ตอนนี้เราเอาผลงานทั้งหมดไปใส่ในเฟซบุ๊คสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา และก็มีเว็บไซต์www.สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา.Com ลองเปิดดู แล้วเราก็ทำหนังสือด้วย ลองถามในเว็บไซต์ ก็จะมีวิธีการสั่งหนังสือ เป็นหนังสือเกี่ยวกับการสร้างสนามเด็กเล่น เพราะจริงๆ ไม่ใช่โรงเรียนจะสร้างอย่างเดียว ที่บ้านบางคนก็อยากจะสร้างให้ลูกหลานเล่น แล้วบางคนบอกว่าอยากจะให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้ ก็เมื่อทำสนามเด็กเล่นแล้ว ไปเชิญเด็กฝรั่งมาเล่นสิ สนามเด็กเล่นพวกนี้ยังใช้เรียนภาษาอังกฤษได้นะครับ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี