ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้ทรงกำหนดวิสัยทัศน์ของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เพื่อสนองพระราชปณิธานและแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ตั้งแต่เริ่มการก่อตั้งและดำรงมาจนถึงปัจจุบันคือ “การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน”
ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2547 ได้เกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ซึ่งถ้าแพร่กระจายทั่วโลกก็ยากที่จะควบคุมได้อีกทั้งขณะนั้นยังไม่มีวัคซีนใดที่สามารถป้องกันโรคได้ ส่วนยาที่สามารถใช้ป้องกันและรักษาได้ก็อาจไม่พอเพียงและประเทศไทยก็ต้องอาศัยความเมตตาจากประเทศที่ผลิตยาได้แต่อย่างเดียว
อุบัติการณ์ดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าประเทศไทยมีความมั่นคงทางยาไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในกลุ่มของยาชีววัตถุ ซึ่งเป็นยาที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิตและมีโมเลกุลใหญ่ซับซ้อน ในปัจจุบันมีความสำคัญในการรักษาโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศและยาชีววัตถุในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศมูลค่านับหมื่นล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
จนกระทั่งปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีขีดความสามารถในการสร้างนวัตกรรมเพื่อทำยาชีววัตถุด้วยตนเอง แต่เริ่มมีการซื้อหรือรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) จากต่างประเทศเพื่อผลิตหรือนำตัวยาสำคัญมาบรรจุจำหน่ายเท่านั้น ยาชีววัตถุเหล่านี้มีความจำเป็นและมีราคาสูงอย่างมาก เป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคที่มีอุบัติการณ์เกิดสูงในประเทศ เช่น โรคมะเร็งซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประชากรไทยในขณะนี้
ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ต่อปัญหาสุขอนามัยของประชาชนทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของประเทศที่จะต้องเร่งผลิตบุคลากรด้านงานวิจัยที่มีศักยภาพและมีความสามารถในการคิดค้นพัฒนายา เพื่อทำให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองด้านยาชีววัตถุอันจะเป็นการช่วยสร้างความมั่นคงทางยาและลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่ง จึงทรงแสวงหาความร่วมมือจากคณาจารย์ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) แห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อทรงวางนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองให้ประเทศ ได้แก่ การวิจัยและการพัฒนานักวิจัยซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด
กว่าทศวรรษของการทุ่มเท และพระวิริยอุตสาหะในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาบุคลากรด้านงานวิจัย เมื่อปี พ.ศ. 2552 ได้ประทานนโยบายให้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนายาชีววัตถุขึ้นที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และทรงให้สถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ ซึ่งได้ทรงตั้งขึ้นเช่นกัน เร่งพัฒนานักวิจัยระดับปริญญาโท-เอก เพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศ
นอกจากนี้ ยังได้เสด็จนำนักวิจัยของสถาบันและผู้บริหารอาวุโสของหน่วยงานที่เสนอให้การสนับสนุนในขณะนั้นไปดูงานทางวิชาการ ณ สถาบัน MIT และบริษัทผลิตยาชีววัตถุชั้นนำในต่างประเทศ ที่สาธารณรัฐอินเดียและสหรัฐอเมริกาด้วย เพื่อเป็นแนวทางที่จะได้นำมาปรับใช้ในศูนย์วิจัยและพัฒนายาชีววัตถุ ณ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
เป็นข่าวที่น่ายินดีของประชาชนชาวไทยอย่างยิ่งที่ขณะนี้ นักวิจัยของศูนย์วิจัยและพัฒนายาชีววัตถุ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสบความสำเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ ซึ่งเป็น “โมโนโคลนแอนติบอดี (MonoclonalAntibody)” ชนิดแรก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคมะเร็งเต้านม มีชื่อว่า Trastuzumab โดยเริ่มตั้งแต่การวิจัย การตัดต่อดีเอ็นเอและนำไปพัฒนาเซลล์ต้นแบบจากเซลล์เพียง 1 เซลล์ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานสากลในทุกขั้นตอน จนกระทั่งสามารถผลิตเป็นยาได้สำเร็จในปริมาณที่สูงพอที่จะนำไปพัฒนาตามกระบวนการในระดับอุตสาหกรรม
ความสำเร็จครั้งนี้นับเป็นนวัตกรรมด้านยาชีววัตถุที่แท้จริงชิ้นแรก และครั้งแรกที่คิดและดำเนินการโดยนักวิจัยไทยในประเทศไทยโดยไม่ต้องอาศัยการซื้อหรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การดำเนินงานของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนนั้นประสบความสำเร็จและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี(พ.ศ.2560-2579) ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นให้ประเทศไทยสามารถสร้างผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งผลให้เศรษฐกิจของชาติพัฒนาอย่างมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน และเพื่อการพัฒนาศักยภาพและกำลังคนของประเทศตามยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 ได้อย่างเป็นรูปธรรม
จากความสำเร็จในงานวิจัยและพัฒนากระบวนการดังกล่าวข้างต้น สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ พร้อมที่จะขยายปริมาณการผลิตไปสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยจะร่วมมือกับ โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ (National Biopharmaceutical Facility, NBF) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ซึ่งมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในระดับอุตสาหกรรม และได้รับการรับรองมาตรฐาน Good Manufacturing Practice (GMP) กล่าวคือ นักวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ดำเนินการวิจัยตั้งแต่ขั้นแรกของกระบวนการต้นน้ำคือการสร้างเซลล์ต้นแบบพัฒนาวิธีขยายปริมาณและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตตัวยา จนกระทั่งการพัฒนาวิธีการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาชีววัตถุ ส่วนนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีจะดูแลการพัฒนากระบวนการการผลิตในระดับอุตสาหกรรมต่อยอด
จากความร่วมมือนี้ยังผลให้นักวิจัยจากทั้งสองสถาบันจะสามารถร่วมกันพัฒนาและผลิตยาชีววัตถุนี้ได้อย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะสามารถนำไปสู่การใช้ประโยชน์ได้ในอนาคตอันใกล้ เป็นผลให้ผู้ป่วยมะเร็งบางชนิดโดยเฉพาะ มะเร็งเต้านม ได้มีโอกาสเข้าถึงยาได้มากขึ้นทั้งนี้
ความสำเร็จซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันของทั้งสองหน่วยงานสำเร็จลุล่วงได้เป็นผลสืบเนื่องจากแนวพระดำริพระวิสัยทัศน์ตลอดจนการอุทิศพระองค์เพื่อประชาชนของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์ของไทย ซึ่งทรงเป็นผู้ที่ได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญทรงริเริ่มและทรงวางรากฐานการพัฒนายาชีววัตถุ เพื่อความมั่นคงทางด้านยาของประเทศและประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริงมาเป็นเวลานานนับกว่าสิบปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี