เมืองลับแล
จากเหตุการณ์ถ้ำหลวงนั้นมีเรื่องลี้ลับกล่าวถึงเมืองลับแล จึงทำให้นึกถึงตำนานเมืองแม่หม้ายที่รู้จักกันมานานว่าเป็นเมืองลับแล ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ อาทิตย์นี้ได้ตามรอยหาภูมิสถานแห่งนี้ไปกับเพื่อนธรรมชาติ ซึ่งนำพาไปชุมชนโบราณแห่งนี้นัยว่าเดิมเป็นชุมชนโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ก่อนจะถูกทิ้งร้างนั้นได้มีการอพยพเทครัวชาวเชียงแสนมาตั้งรกรากเพิ่มเติม ความเป็นมาของคำว่า “ลับแล” นั้น สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้สันนิษฐานไว้ว่าเดิมชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้ ด้วยเหตุเป็นที่ป่ารก หลบซ่อนตัวง่ายและ ภูมิประเทศอยู่ในหุบเขาที่มีเนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมืองหากไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศแล้วจะหลงทางได้ง่ายจึงลี้ลับเหมือนเมืองลับแลคือเมืองที่มองไม่เห็น
ชาวพื้นเมืองลับแล
จนเล่าว่าคนมีบุญเท่านั้นจึงจะเข้าไปถึงเมืองลับแลได้ นอกจากนี้มีตำนานเล่าขานว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเข้าไปหาของป่าและล่าสัตว์ในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมาจากกลางป่า ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปในเมือง ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตอนบ่ายกลุ่มหญิงสาวนั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้เมื่อพบแล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มนั้นแอบหยิบใบไม้มา นางจึงวิตกที่กลับไปไม่ได้ ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้และมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ขอติดตามนางไปด้วย
การแต่งกายชาวลับแล
ด้วยอยากเห็นเมืองลับแลที่คนกล่าวขานถึงแม่หม้าย หญิงสาวจึงยินยอมแล้วนางพาชายหนุ่มเข้าไปในเมืองลับแล ซึ่งชายหนุ่มเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่า คนในหมู่บ้านนี้ล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชาย ส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์ ทำให้ต้องออกจากหมู่บ้านไปจนหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาโดยชายหนุ่ม เกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอมแต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มแต่งงานอยู่กินกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน
ชายหนุ่มลับแล
วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้านนั้น ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อเลี้ยงบุตรอยู่แล้วบุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบโกหกว่า “แม่มาแล้วๆ” มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้แล้ว นางก็กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มจำต้องเดินทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขารู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อยๆ และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด
ผ้าทอลับแล
ครั้นเดิน ทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิมญาติมิตรต่างก็ซักถามว่าเหตุที่หายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานานชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นแท่งทองคำ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นขมิ้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดูก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทองแต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแลก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก จึงละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม
ทุเรียนหลิน-หลง ลับแล
ตำนานเมืองลับแลนี้ในหลายแห่งเล่าเหมือนๆกันจะต่างก็ตรงสิ่งของที่ใส่ให้กลับมา เมืองลับแลแห่งนี้ต่อมาตั้งเป็นอำเภอลับแล มีบุคคลสำคัญชื่อพระศรีพนมมาศ (ทองอิน) เป็นนายอำเภอลับแลในสมัยรัชกาลที่ ๕ ถือเป็นคนสำคัญที่สร้างความเจริญให้อำเภอลับแลเป็นอย่างมาก เป็นผู้วางผังเมืองลับแล สร้างฝายหลวง พัฒนาการศึกษารวมทั้งส่งเสริมการเกษตร เป็นผู้ต้นคิดทำ “ไม้กวาด” ติดผ้าแดงเป็นของที่ระลึก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นั้นเคยเสด็จฯ มาอำเภอลับแล เมื่อพ.ศ. ๒๔๔๔ ปัจจุบันอำเภอลับแลเป็นแหล่งทอผ้าลับแล ปลูกสวนทุเรียนพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงบนเขาคือ หลิน-หลง ทุเรียนที่ตั้งตามชื่อนางหลิน อุประและนายหลงปันลาด ผู้ปลูกทุเรียนชนะการประกวด อำเภอลับแลนี้มีอาหารพื้นถิ่นเช่น ข้าวแคบ หมี่พัน กระบองทอด ขนมจีนเค็ม ข้าวพันผัก ที่หากินได้แห่งเดียว
ผ้าเมืองลับแล
พระศรีพนมมาศ
สาวลับแลแต่งกาย
สาวลับแลปัจจุบัน
หญิงลับแลในอดีต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี