หลังจากประสบความสำเร็จในฐานะผู้บริหาร ที่ช่วยสร้างการเติบโตและผลกำไรให้กับธุรกิจและองค์กรที่รับผิดชอบดูแล รวมถึงที่ปรึกษาในธุรกิจต่างๆ ของเพื่อนฝูงและเครือญาติ ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ จึงมีปณิธานใหม่ที่อยากจะสร้างสรรค์ธุรกิจเพื่อสังคมหรือ Social Enterprise โดยเฉพาะในด้านการศึกษา แต่ดูเหมือนชีวิตจะถูกลิขิตไว้แล้ว จึงทำให้เธอก้าวสู่งานการเมืองเพื่อนำแนวคิดเล็กๆ นั้นมาทำให้เป็นรูปร่างในภาพที่ใหญ่ขึ้นผ่านการทำหน้าที่ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” พร้อมๆ กับการเป็นอีกหนึ่งพลัง สส.คนรุ่นใหม่ที่จะมา“ทำงานการเมือง” เพื่อ “ประโยชน์ของคนไทยและประเทศไทย”
ธณิกานต์ มีดีกรีปริญญาตรี นิเทศศาสตร์ (โฆษณา) และปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ (การจัดการทรัพย์กรมนุษย์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยช่วยบริหารธุรกิจของครอบครัวซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับโพลิเมอร์ พลาสติก อะคริลิก และถ้วยรางวัล รวมไปถึงเป็นผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์ แบรนด์ D.O.C. กระเป๋าที่ทำจากวัสดุอะคริลิก ซึ่งต่อยอดมาจากธุรกิจครอบครัว ไม่นับรวมการเป็นที่ปรึกษาให้กับอีกหลายธุรกิจ ดูๆ แล้วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเมือง จนเธอได้เข้าเรียนหลักสูตรพิเศษที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย และได้รู้จักกับ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ แกนนำคนสำคัญของการก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ
“ตอนนั้นอุ๋มมีแนวคิดที่อยากจะทำธุรกิจเพื่อสังคม อุ๋มสนใจเรื่องการพัฒนาคนอย่างยั่งยืน โดยมีทักษะและองค์ความรู้ที่เหมาะสมเพื่อดูแลตัวเองได้ในแต่ละช่วงวัย อยากจะทำหลักสูตรอบรมให้ความรู้ด้าน Soft Skill ผ่านออนไลน์ที่ผู้เรียนสามารถนำไปปรับใช้ได้เลย และเป็นสิ่งที่แรงงานไทยยังขาด พี่บีรู้ว่าอุ๋มอยากทำตรงนั้น พี่เขาก็ให้ข้อคิดว่าสิ่งที่อุ๋มอยากทำเป็นเรื่องที่ดี แต่มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนที่จะทำได้ แต่ถ้าเราได้มีโอกาสยกความคิดนั้นมาอยู่ในสภามันจะสามารถสร้างอิมแพคได้มากกว่าไหม พอได้ฟังพี่บีพูดก็รู้สึกว่ามันก็น่าสนใจนะ แต่ในใจเรามันยังค้านอยู่ ไม่เอาหรอก การเมืองเราไม่รู้จัก แต่พี่บีขยันโน้มน้าวมากค่ะ จนเกรงใจ ก็เลยกลับมาคิดว่าพี่เขาต้องเห็นอะไรในตัวเรา กลับมาหาคำตอบให้กับตัวเองว่า การเมืองมันคืออะไร ซึ่งคำตอบที่ได้คือ การเมืองก็คือการบริหารนั่นแหละ และมันเป็นสิ่งที่เราถนัดด้วย บริหารธุรกิจมันก็แค่องค์กรหนึ่ง แต่การเมืองคือการบริหารประเทศ มันเป็นภาคที่ใหญ่กว่ามาก และหลักการบริหารก็คือหลักเดียวกัน ที่สำคัญคืออุ๋มเป็นคนที่ชอบท้าทายตัวเองด้วย ก็มองว่าถ้า “โอกาส” มาถึงแล้วเราทำไมจะไม่ “ทำ” พอคิดได้ดังนั้นก็เลยตอบรับคำชวนของพี่บี ซึ่งวันนั้นยังไม่มีชื่อพรรคด้วยซ้ำไป”
ไม่ใช่แค่นั้น ธณิกานต์ ยังเป็นแกนนำกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่ากลุ่ม “THINK TANK” ของพรรคพลังประชารัฐที่มีส่วนร่วมในการนำเสนอแนวคิด นโยบายพรรคที่สำคัญอีกด้วย
“ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ในพรรคที่เห็นความสำคัญของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการคนรุ่นใหม่เข้าสู่สภาเพื่อขับเคลื่อนและสร้างการเมืองในแง่มุมใหม่เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้า การฟอร์มทีม THINK TANK ขึ้นมา ซึ่งในกลุ่มนี้มีทั้งรุ่นใหม่ที่ใหม่แบบไม่มีประสบการณ์ บางคนอาจจะเคยอยู่เบื้องหลังมาก่อน บางคนเคยสัมผัสงานการเมืองมาบ้าง ทั้งหมดนี้พวกเราประชุมระดมสมองกันอย่างหนัก เพื่อรับฟังความคิดเห็นของแต่ละคนมาใครมีอะไรที่อยากนำเสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำนโยบายพรรคที่เราจะเดินไปด้วยกัน รวมถึงนโยบายที่จะใช้ในการหาเสียง ซึ่งตัวอุ๋มเองก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคตั้งแต่เริ่มแรกก็ได้รับโอกาสให้เป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย และได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตดุสิต-บางซื่อ”
เขตดุสิต-บางซื่อ เป็นอีกหนึ่งเขตที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะ สส.เก่าที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิม จึงนับว่าเป็นงานหิน แต่สำหรับ ธณิกานต์ เธอเดินหน้าหาเสียงด้วยความมุ่งมั่น นำเสนอนโยบายพรรค และนโยบายส่วนตัวที่อยากจะทำให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่จนได้รับชัยชนะมาอย่างท่วมท้น
“อุ๋มขอลงที่เขตนี้ด้วยตัวเอง เพราะอุ๋มเกิดและใช้ชีวิตอยู่ในเขตบางซื่อ-ดุสิตมาตลอดชีวิต พ่อแม่และญาติๆ ตลอดจนเพื่อนฝูงก็อยู่ในเขตนี้ จึงมีความคุ้นเคยผูกพันและเข้าใจพื้นที่เป็นอย่างดี ดังนั้นถ้าจะต้องไปทำงานอุ๋มขอพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดตัวเองก่อนละกัน ซึ่งในช่วงหาเสียงอุ๋มลงพื้นที่เกือบทุกวัน ไปรับฟังความต้องการและแสดงความตั้งใจที่จะเป็นกระบอกเสียงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ผลักดันในเชิงนโยบาย แต่ด้วยความที่เราเป็นหน้าใหม่การหาเสียงในพื้นที่ไม่พอ เราต้องไปให้คนข้างนอกรู้จักด้วย ดังนั้นมีเวทีดีเบทที่ไหนอุ๋มไปเกือบหมด เพื่อให้คนรู้จักเรา รู้ว่าเรามีแนวคิด ทัศนคติ มีความพร้อมต่อการทำงานการเมืองอย่างไร เวลาที่ลงพื้นที่มีเหมือนกันว่าเอาเงินมาซิ อุ๋มพูดเลยว่าให้เงินผิดกฎหมายอุ๋มให้ไม่ได้ แต่อยากให้อุ๋มช่วยแก้ปัญหาตรงไหน พัฒนาอะไร ถ้าได้เข้าไปอยู่ในสภาอุ๋มจะเป็นตัวแทนผลักดันเต็มที่เพื่อคุณภาพชีวิตชาวดุสิต-บางซื่อ ดังนั้นเมื่อเราได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนจึงรู้สึกดีใจมาก เพราะอุ๋มและทีมงานเราทำงานกันหนักมาก อุ๋มเชื่อว่าเป็นผลมาจากความตั้งใจและทุ่มเทของทั้งทีม และพี่น้องประชาชนคงต้องการคนรุ่นใหม่มาทำงานมาเป็นปากเสียงให้กับพวกเขาเช่นกัน”
ทันทีที่ กกต. ประกาศรับรองการเลือกตั้ง สส.อุ๋ม จึงเดินหน้าทำงานตามที่ได้รับปากไว้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยของผู้หญิง
“ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิงยอมรับว่า แค่จะเดินเข้าเดินออกในซอยบ้าน ไม่ได้รู้สึกปลอดภัยเลย ไหนเรื่องไฟฟ้าส่องสว่าง การเกิดอาชญากรรมตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องร้ายแรง โครงการสังคมสีขาว จึงเกิดขึ้น จากการลงพื้นที่หาข้อมูลกับชาวบ้าน สถิติจากตำรวจ ต้องยอมรับว่าปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่เขตบางซื่อกว่า 2,000 คดี เกินครึ่งสาเหตุมาจากยาเสพติด โดยหนึ่งในแผนงานที่ดำเนินไปแล้วคือ การประสานงานระหว่างสถานีตำรวจพื้นที่ กับ กระทรวงยุติธรรม และป.ป.ส. ในการขอใช้อุปกรณ์ตรวจหาสารเสพติดชนิดยาเค ซึ่งระบาดมากและไม่สามารถตรวจพบได้ง่ายต้องมีอุปกรณ์พิเศษ ทางโรงพักเขาไม่มีอุปกรณ์ งบก็น้อย อุปกรณ์ราคาแพง แต่ที่ ป.ป.ส. มีให้ใช้ เพียงแต่โรงพักต้องทำแผนนำไปเสนอให้กับทาง ป.ป.ส.อันนี้ได้ประสานให้เรียบร้อยไปแล้ว จากโครงการนี้ก็ได้เรียนถามไปยังท่านรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมในสมัยวาระรัฐบาลเราจะผลักดันเรื่องนี้เต็มที่ไหม ซึ่งท่านก็ได้พิจารณาให้เรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วน สิ่งที่ต้องมาดูต่อคือ ผู้เสพทั้งหมดไม่ใช่คนเลวหรือไม่ใช้อาชญากร แต่เขาคือผู้ป่วยหรือเหยื่อ ดังนั้นเราจะมีวิธีการคัดแยกอย่างไรที่จะนำผู้ป่วยไปบำบัดฟื้นฟูให้เขากลับสู่สังคมและไม่ไปใช้ยาเสพติดอีก
อีกหนึ่งโครงการคือการเติมพื้นที่สีเขียวเพิ่มปอดให้คนเมืองบางซื่อเรามีพื้นที่ใต้ทางด่วนเป็นทางยาวมากมีประชาชนไปวิ่งออกกำลังกายกันมาก แต่ขาดการออกแบบและดูแลพื้นที่ ในฐานะ สส.เขต ก็ได้ทำเรื่องไปยังการรถไฟเพื่อขอพัฒนาพื้นที่เพื่อเพิ่มพื้นที่ที่ประชาชนจะได้เข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้มากขึ้น เช่น พักผ่อนออกกำลังกาย ทำให้เกิดคอมมูนิตี้ของประชาชนในพื้นที่ โดยที่โครงการมีการดึงหน่วยงานหลายภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่จะต้องเข้ามาช่วยกันดูแลเป็นเจ้าของร่วมกัน ตอนนี้มีสำนักงานเขตรับเป็นเจ้าภาพไปแล้ว ทางอุ๋มเองก็ได้ขอความร่วมมือจากนักวิชาการ นักออกแบบที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมาเป็นจิตอาสาช่วยดูแลเรื่องการออกแบบปรับปรุงทั้งด้านกายภาพและชีวภาพ โดยฟังเสียงความต้องการของคนในพื้นที่ ว่าเขาต้องให้พื้นที่ตรงนี้ออกมาเป็นแบบไหน เพื่อให้เป็นพื้นที่ของคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งโครงการนี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มพื้นที่สีเขียว แต่ยังช่วยลดอาชญากรรมได้ทางหนึ่ง”
กับคำถามที่ว่า มาเป็นนักการเมืองเพื่อหวังผลประโยชน์หรือไม่ สส.อุ๋ม ตอบอย่างหนักแน่นว่า
“การเข้ามาสู่การเมืองเป็นการเปิดโอกาสให้อุ๋มได้สร้างบางสิ่งบางอย่างไว้บนโลกนี้ สามารถสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนและประเทศชาติได้ซึ่งเรายังไม่เคยได้ทำ กับการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากการทำงานการเมืองทุกๆ วัน เช่น เรื่องข้อกฎหมายต่างๆ ที่เราต้องรู้ว่าถ้าเราทำโครงการนี้มันจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายข้อไหน อันไหนขัดกฎหมาย อันไหนเรามีอำนาจหน้าที่ที่จะทำได้จากที่เคยไม่ชอบการเมืองตอนนี้พูดได้เต็มปากว่า อุ๋มสนุกกับการทำงานการเมืองมากๆ มีอะไรที่ท้าทายความสามารถเรามาก และมองว่านี่คือการทำ Social Enterprise รูปแบบหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นระดับนโยบายรัฐบาล เป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราเคยคิดอยากจะทำ
อุ๋มเชื่อว่านักการเมืองรุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามาในสภาชุดนี้ ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านทุกคนตั้งใจเต็มที่ เพราะเราเองก็ไม่อยากเห็นการเมืองแบบเก่าๆ แต่คำนึงถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก รัฐบาลทำโครงการต่างๆ ถ้าฝ่ายค้านเห็นว่ามีอะไรแอบแฝงก็เข้ามาตรวจสอบ หรือฝ่ายค้านนำเสนออะไรที่เป็นประโยชน์ รัฐบาลก็พร้อมที่จะสนับสนุน คือเป็นการพูดคุยโต้แย้งกันอย่างมีเหตุมีผล สิ่งที่อุ๋มกังวลคือ จะมีนักการเมืองคนรุ่นใหม่สักกี่คนที่จะอยู่รอด ทุกวันนี้อุ๋มเชื่อว่า สส.ทุกคนทำงานกันหนักมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเราต้องมาเจอคำพูดหรือการกระทำที่มันบั่นทอน แล้วคนรุ่นใหม่ภูมิคุ้มกันยังน้อย ประสบการณ์การรับมือก็น้อย พอเจอกระแสหลักที่มันเป็นลบตลอดเวลาก็แย่ได้เหมือนกัน อุ๋มอยากเป็นตัวแทนนักการเมืองรุ่นใหม่ อยากขอโอกาสเป็นกำลังใจให้พวกเราทำงานสร้างสรรค์การเมืองในแบบที่พี่น้องประชาชนอยากเห็น แทนที่จะตั้งคำถามหรือตัดสิน ขอเป็นคำพูดซัพพอร์ตความตั้งใจพวกเราในการทำงานพัฒนาประเทศ เท่านี้ก็เป็นพลังมหาศาลให้พวกเราแล้วค่ะ”
เมื่อถามถึงตัวตนความเป็น ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ เธอบอกว่าเธอเป็นคนเต็มที่กับชีวิต
“อุ๋มค่อนข้างเป็นคนมีระเบียบในการใช้ชีวิต คือ ในทุกๆ ช่วงชีวิตไม่ว่าจะทำอะไรอุ๋มจะมีการตั้งเป้าหมาย มีการวางแผนที่จะเดินไปให้ถึงจุดหมาย และจะทำทุกอย่างด้วยความทุ่มเท มุ่งมั่น เพื่อที่ผลออกมาเป็นอย่างไรก็จะไม่เสียใจ กับการทำงานการเมืองก็เช่นกัน เมื่ออุ๋มตัดสินใจที่จะมาทำงานด้านนี้อุ๋มก็ลุยเต็มที่ ในวันที่ลงเลือกตั้งไม่รู้หรอกว่าจะได้หรือไม่ได้ รู้แต่เราตั้งใจเต็มที่ ยังไงเป็นประสบการณ์ให้เราเรียนรู้แน่นอน และเมื่อผลออกมาว่าได้เป็น สส. อุ๋มถือว่านี่คือความสำเร็จในเป้าหมายแรกเป้าหมายต่อไปคือการทำหน้าที่ สส. ทั้งงานด้านนิติบัญญัติ งานด้านวิชาการ การร่างกฎหมาย ตลอดจนการดูแลยกระดับพัฒนาพื้นที่ของเราอย่างเป็นรูปธรรม แต่ทุกๆ เป้าหมายที่มีจะสอดคล้องกับปณิธานที่ตัวเองตั้งไว้คือ การได้สร้างบางสิ่งบางอย่างไว้บนโลกนี้ และสิ่งนั้นจะต้องมีคนได้ประโยชน์ มีคุณค่าต่อสังคมและประเทศชาติ นี่คือตัวตนของอุ๋มค่ะ”
ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ และ สส.เขต งานจึงหนักเป็นสองเท่า แต่หากมีเวลาสิ่งที่ สส.หญิงคนเก่ง ชอบทำมากที่สุดคือการออกกำลังกาย
“อุ๋มชอบออกกำลังกายมาก อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน อุ๋มเล่นกีฬาหลายอย่าง กีฬาโปรดคือขี่ม้า ตอนแรกขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวาง เพราะเล่นคนเดียวได้ แล้วก็มาชอบขี่ม้าโปโลเพราะได้เล่นเป็นทีม เป็นกีฬาที่ใช้สมองในการวางแผน ใช้จังหวะและความเข้าใจสถานการณ์ ตลอดจนใช้อวัยวะแทบทุกส่วน แต่ก็ค่อนข้างเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ อุ๋มเคยตกม้าจนแขนหักมาแล้ว พอมาทำงานการเมืองทำให้ไม่มีเวลาไปขี่ม้าโปโลเลย แต่การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตก็หันมาเล่นพิลาทิส ซึ่งข้อดีของพิลาทิสเป็นการยืดและสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองเพราะต้องใช้ทั้งสมาธิในการโฟกัสกล้ามเนื้อในแต่ละส่วน ทำให้ได้เรียนรู้และเข้าใจเพื่อจัดสมดุลโครงสร้างร่างกายของเราทั้งซีกซ้ายและขวา”
นับว่าเป็น สส.คนรุ่นใหม่ ที่น่าจับตามอง และหากการเมืองไทยมีนักการเมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วย วิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น อนาคตของประเทศคงก้าวต่อไปได้อย่างราบรื่นและมั่นคง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี