บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยความร่วมมือกับสำนักเลขาธิการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศรายชื่อ5 นักวิจัยสตรีผู้มีผลงานวิจัยในการพัฒนาชุมชน สังคมสิ่งแวดล้อมและประเทศชาติอันโดดเด่นที่ได้รับทุนโครงการทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ประจำปี 2562 โดยในปีนี้เป็นปีที่ 17 ของการดำเนินโครงการในประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการร่วมเชิดชูเกียรติสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์และสนับสนุนงานด้านการค้นคว้าและวิจัยเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทย ปัจจุบันมีนักวิจัยสตรีไทยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 65 คน
นางสาวอรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ลอรีอัล เชื่อมั่นมาตลอดว่าการค้นคว้าวิจัยจะก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นจุดยืนของ มร.ยูชีน ชูแลร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ก่อตั้งลอรีอัล และเป็นหัวใจสำคัญของลอรีอัลในการดำเนินธุรกิจมากว่า 100 ปี เราเชื่อมั่นว่าโลกต้องการวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต้องการผู้หญิง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน เราจึงสนับสนุนงานวิจัยของสตรีมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นหนึ่งในฟันเฟืองในการสนับสนุนนักวิจัยสตรีไทยที่มีสัดส่วน 56.1 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังนับเป็นเพียง 29 เปอร์เซ็นต์ ของนักวิทยาศาสตร์สตรีทั่วโลก เราจึงเดินหน้าโครงการทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 17มอบทุนวิจัยทุนละ 250,000 บาท ให้กับนักวิจัยสตรีที่มีอายุระหว่าง 25-40 ปี ใน 2 สาขา ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ เพื่อเป็นแรงสนับสนุนให้นักวิจัยสตรีไทยในการสร้างงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมและประเทศชาติ และผลักดันให้พวกเขาสามารถก้าวเข้าสู่วงการวิทยาศาตร์ในระดับสากลได้
สำหรับปีนี้นักวิจัยสตรีทั้ง 5 คน ที่ได้รับทุนวิจัย ประกอบด้วยดร.ธัญญพร วงศ์เนตร สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ จากสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี กล่าวว่า “จากผลการสำรวจโดยกรมควบคุมมลพิษในปี 2559 พบว่า ประชากรไทยสร้างขยะมูลฝอยหรือขยะชุมชนสู่ระบบนิเวศกว่า 27.37 ล้านตันต่อปี หรือราวๆ 74,998 ตันต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทั้งในระดับชุมชนและประเทศชาติเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ทีมวิจัยจึงนำเทคโนโลยีการหมักขยะเศษอาหารมาใช้ควบคู่กับหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่ได้จากผลงานวิจัยเพื่อเปลี่ยนขยะอินทรีย์ให้เป็นสารมูลค่าเพิ่มเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน จะก่อให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนขยะมูลฝอยให้กลายเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพและสารชีวภัณฑ์มูลค่าเพิ่มที่มีคุณภาพสูงขึ้น และเป็นพลังงานสะอาด สามารถนำมาใช้เป็นอีกหนึ่งพลังงานทางเลือกได้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีไปใช้แล้วที่จังหวัดน่าน และที่เขตนวัตกรรม ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) และกำลังวางแผนที่จะขยายไปยังชุมชนอื่น รวมไปถึงขยายไปในระดับเทศบาลต่อไป เพื่อปลูกฝังให้คนไทยมีพฤติกรรมในการแยกขยะ และช่วยลดปริมาณขยะมูลฝอยที่จะถูกปล่อยออกสู่ระบบนิเวศและธรรมชาติต่อไป
ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า “อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้สารเคมีและพลังงานสูงซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะและปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสิ่งทอที่ลดการใช้สารเคมี ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ “เทคโนโลยีเอนไซม์”จึงเป็นที่ต้องการและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ทางทีมวิจัยจึงได้มุ่งหน้าคิดค้นเทคโนโลยีเอนไซม์จากเชื้อจุลินทรีย์ผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน เพื่อให้ได้มาซึ่งเอนไซม์ที่มีศักยภาพสูงและนำไปสู่การพัฒนาเอนไซม์สัญชาติไทยที่สามารถนำไปใช้ทดแทนการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้โดย เอนอีซ (ENZease) เอนไซม์อัจฉริยะทูอินวันสำหรับกระบวนการผลิตสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่คิดค้นได้โดยทีมวิจัยนี้จะเข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพของผ้าไทยทั้งในระดับอุตสาหกรรมและสิ่งทอพื้นเมือง รวมทั้งทำให้กระบวนการการผลิตผ้าฝ้ายเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงบวกทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสังคม เศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน โดยเฉพาะประชาชนชาวไทย อย่างมหาศาลต่อไปในอนาคต
ดร.จำเรียง ธรรมธร สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ จากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า “ปัจจุบันมีโรคเกิดขึ้นใหม่มากมาย อีกทั้ง ยังมีโรคต่างๆ ที่มีอยู่ก็มีอัตราการดื้อยาที่สูงขึ้น ส่งให้งานวิจัยทางด้านการพัฒนายาจึงต้องเป็นงานวิจัยที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในขั้นตอนหลักที่จำเป็นคือ การพัฒนาวิธีการสังเคราะห์สารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพซึ่งจะนำไปสู่งานวิจัยที่ต่อยอดได้ โดยผลงานวิจัยนี้มุ่งเน้นไปที่การศึกษาวิธีการสังเคราะห์สารสำคัญที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งและการฆ่าเชื้อมาเลเรีย โดยหลังจากที่ได้วิธีการสังเคราะห์สารสำคัญในกลุ่มนี้ ทางทีมวิจัยจะทำการเตรียมอนุพันธ์ของสารเพื่อให้มีความหลากหลายทางโครงสร้าง และนำไปทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพต่อไป ซึ่งหลังจากได้สารที่เป็นสารประกอบ ก็จะนำสารนี้ไปพัฒนาต่อยอดเพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป็นยารักษาโรคต่อไป”
รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริลตา ยศแผ่น สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “แนวคิดเกี่ยวกับ Carbon-Hydrogen (C-H)bond functionalization คือ การใช้กระบวนการทางเคมีเพื่อเปลี่ยนแปลงสารอินทรีย์ที่พันธะระหว่างคาร์บอนและไฮโดรเจนโดยตรง ซึ่งเป็นหลักการที่ได้รับความสนใจจากนักเคมีเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเป็นวิธีการสังเคราะห์สารอย่างยั่งยืน โดยจะช่วยลดขั้นตอนการผลิต ลดปริมาณของเสียและสารพิษอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี งานวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการสังเคราะห์สารอินทรีย์วิธีทางเลือกใหม่ โดยได้ใช้แนวคิด Carbon-Hydrogen (C-H) bond functionalization ผสมผสานกับการเร่งปฏิกิริยาเคมี (Catalysis) และหลักการทางเคมีสีเขียว (Green Chemistry) ซึ่งจะก่อให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางเคมี และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานวิจัยทางด้านชีววิทยา วัสดุศาสตร์ เภสัชศาสตร์ การเกษตร หรืออื่นๆ ได้ นอกเหนือจากนี้แล้วงานวิจัยนี้ยังสามารถต่อยอดเพื่อพัฒนาเป็นนวัตกรรมการสังเคราะห์สารอินทรีย์ที่ใช้ได้จริงในทางอุตสาหกรรมการผลิตยาและวัสดุสารเคมีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยจะช่วยเพิ่มมูลค่าของสารที่มีอยู่ ช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง อีกทั้งยังลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จึงถือเป็นการส่งเสริมการขับเคลื่อนของประเทศต่อการขยายตัวด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในอนาคต”
รองศาสตราจารย์ ดร.พนิดา สุรวัฒนาวงศ์ สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ที่ผ่านมา น้ำมันและก๊าซธรรมชาตินั้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การวิจัยเพื่อพัฒนาพลังงานทางเลือกจากทรัพยากรที่ยั่งยืนจึงเป็นที่ต้องการ การใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อสลายพันธะคาร์บอนออกซิเจนเพื่อเปลี่ยนลิกนินให้มีโมเลกุลเล็กลงสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในอุตสาหกรรมเคมีจึงมีความสำคัญ จึงได้ทำการศึกษากลไกการทำงานของตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะนิกเกิล โดยใช้วิธีการคำนวณบนพื้นฐานเคมีควอนตัมเพื่อศึกษาโครงสร้างและพลังงานของโมเลกุล เพื่อเรียนรู้การทำงานของตัวเร่งปฏิกิริยาที่เข้ามามีบทบาทในการลดการใช้พลังงาน นำไปสู่แนวคิดการออกแบบตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีทั้งโลหะและกรดลิวอิสในโครงสร้างโมเลกุลเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถใช้ย่อยพันธะคาร์บอนออกซิเจนให้ได้โมเลกุลที่มีขนาดเล็กลงเพื่อใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมเคมีได้”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี