เครื่องทรงพระแก้วมรกต
เมื่อแรกการสร้างกรุงเทพมหานคร พ.ศ.๒๓๒๕ นั้นได้มีการสถาปนาวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้นเป็นปฐมเพื่ออัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต ประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปสำคัญของพระราชอาณาจักรสยามหรือกรุงรัตนโกสินทร์ อาทิตย์นี้ได้ตามรอยพระแก้วมรกต ซึ่งเป็นสิ่งเคารพนับถือสูงสุดของแผ่นดิน จากตำนานนั้นกล่าวว่าพระแก้วมรกตสร้างเมื่อพ.ศ.๕๐๐ โดยพระนาคเสนเถระ วัดอโศการามกรุงปาฏลีบุตร ในแผ่นดินพระเจ้ามิลินท์หรือเมนันเดอร์ โดยสมเด็จพระอมรินทราธิราช พร้อมกับพระวิสสุกรรมเทพบุตร นำแก้วโลกาทิพยรัตตนายกอันมีรัตนายกดิลกเฉลิม ๑,๐๐๐ ดวงสีเขียวทึบ มาจำหลักเป็นพระพุทธรูปถวายให้พระนาคเสน ถวายพระนามว่า พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต
พระนาคเสนได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงไปในพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต ๗ องค์ คือพระโมลี พระนลาฏ พระนาภี พระหัตถ์ซ้าย-ขวา และพระเพลาซ้าย-ขวา เมื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานครั้งนั้นได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นพระนาคเสนจึงพยากรณ์ว่าพระแก้วมรกตองค์นี้จะได้เสด็จไปโปรดสรรพสัตว์ในเบญจประเทศคือ ลังกาทวีป กัมโพชะศรีอโยธยา โยนะวิสัย ปะมะหละวิสัย และสุวรรณภูมิซึ่งภายหลังนั้นพระแก้วมรกตได้ถูกอัญเชิญสถิตในดินแดนต่างๆ หลายแห่งตามคำพยากรณ์และหายไปโดยไม่มีใครกล่าวถึง จนมีหลักฐานการพบในสุวรรณภูมิหรือไทยว่า มีการพบครั้งแรกจากเจดีย์วัดป่าญะ ตำบลเวียงเมืองเชียงราย ปัจจุบันคือวัดพระแก้ว ครั้งเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าองค์พระเจดีย์เมื่อปี พ.ศ.๑๙๗๗ ทำให้พระเจดีย์พังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง จึงอัญเชิญประดิษฐานในวิหาร ต่อมาปูนที่พอกอยู่ได้กะเทาะออกตรงบริเวณพระนาสิกจึงเห็นเป็นเนื้อแก้วมรกต เมื่อกะเทาะปูนออกหมดจึงเห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์
ช้างอัญเชิญพระแก้วมรกต
พระเจ้าสามฝั่งแกนแห่งเมืองเชียงใหม่ทราบเรื่องการค้นพบพระแก้วมรกต จึงอัญเชิญมาเพื่อประดิษฐานที่เมืองเชียงใหม่ แต่ช้างที่อัญเชิญพระแก้วมรกตนั้นกลับเดินทางไปเมืองลำปาง จึงอัญเชิญไว้ที่วัดพระแก้วดอนเต้า จนถึงสมัยพระเจ้าติโลกราช จึงได้เชิญพระแก้วมรกตกลับมาประดิษฐานที่เมืองเชียงใหม่ แม้จะสร้างวิหารทรงปราสาทเพื่อประดิษฐานให้ก็ถูกฟ้าผ่าอยู่หลายครั้งต่อมาพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งล้านช้างซึ่งเป็นญาติกับราชวงศ์ล้านนาได้ครองเมืองเชียงใหม่อยู่ระยะหนึ่งเมื่อเสด็จกลับหลวงพระบางนั้นได้อัญเชิญพระแก้วมรกตพร้อมกับพระพุทธสิหิงค์ไปด้วยกัน ต่อมาเมืองเชียงใหม่ขอคืนพระพุทธรูปจึงได้แต่พระพุทธสิหิงค์กลับคืนส่วนพระแก้วมรกตนั้นเมื่อล้านช้างย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมายังนครเวียงจันทน์ จึงอัญชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานที่หอพระแก้ว
อัญเชิญพระแก้วมรกต
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง พระองค์ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบาง มาจากนครเวียงจันทน์ครั้งแรกประดิษฐาน
ที่วัดอรุณราชวราราม เมื่อมีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ ๑ จึงอัญเชิญพระแก้วมรกตลงบุษบกในเรือพระที่นั่งข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มาประดิษฐานยังวัด
พระศรีรัตนศาสดาราม พระราชทานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” ส่วนพระบางนั้นได้ส่งคืนกลับให้แก่อาณาจักรล้านช้าง ด้วยเหตุที่พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปประจำพระราชอาณาจักรจึงสถิตเป็นประธานในพระราชพิธีอยู่ทุกสมัยรัชกาลเช่น พระราชพิธีตรียัมปวายและตรีปวาย, พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลมาฆบูชา-วิสาขบูชา-อาสาฬหบูชา,พระราชพิธีศรีสัจปานกาลถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา,พระราชพิธีสงกรานต์, พระราชพิธีฉัตรมงคล,พระราชพิธีพืชมงคล, พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเข้าพรรษา-อุปสมบทนาคหลวง, พระราชพิธีบรมราชาภิเษก, พระราชพิธีตรึงหมุดธงชัยเฉลิมพล, พิธีจารึกพระสุพรรณบัฏดวงพระราชสมภพและแกะพระราชลัญจกร, พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก, พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา, และพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรตามกำหนดการดังนี้ เครื่องทรงฤดูร้อนทรงเปลี่ยน วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ เครื่องทรงฤดูฝนทรงเปลี่ยน วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หรือปีอธิกมาส จะเลื่อนเป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ซึ่งตรงกับวันเข้าพรรษา ของทุกปีเครื่องทรงฤดูหนาวทรงเปลี่ยน วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒
ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ตามพยากรณ์และเป็นพระพุทธรูปสำคัญหนึ่งเดียวของศิลปกรรมที่งดงามนั้น พระแก้วมรกตจึงเป็นสิ่งเคารพนับถือของปวงชนชาวไทยได้กราบไหว้สักการะสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้
เรือพระที่นั่งอัญเชิญพระแก้วมรกต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี