คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะมีชีวิตแบบใดๆ ได้ตามความต้องการของเรา ปัจจัยสำคัญในการเลือกทางเดินของชีวิตนั้นมาจากการอบรมบ่มเพาะของพ่อแม่ และมาจากต้นฉบับที่พ่อแม่ทำให้ลูกๆ ได้เห็นมาโดยตลอด
แนวหน้าวาไรตี้ในช่วงเดือนมหามงคล คือเดือนสิงหาคม ซึ่งมีวันสำคัญของสังคมไทยคือ วันแม่แห่งชาติ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย นำคุณไปสนทนากับ ดร.คุณหญิง กัลยา โสภณพนิชรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในบทบาทของแม่และลูกของแม่
กราบเรียนถามคุณหญิงว่าคุณแม่ของคุณหญิงเป็นแรงบันดาลใจอะไรบ้างที่ทำให้คุณหญิงประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตเสมอมา
คุณหญิงกัลยา : มนุษย์และทุกสัตว์ชนิดมีแม่ และมนุษย์ทุกคนก็มีสถานภาพเป็นลูกของแม่ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแม่และลูกจึงผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ตัวของดิฉันเองนั้นมีแม่และพ่อเป็นต้นแบบของการดำเนินชีวิต เพราะทั้งสองท่านสอนลูกทุกคนในบ้านของเราด้วยการกระทำที่ชัดเจน แม้ท่านจะไม่ค่อยได้สอนด้วยคำพูดมากนัก แต่ที่เราทุกคนจำได้ดีคือท่านทำเป็นแบบอย่างให้เราจดจำ แล้วเมื่อใดที่เราทำผิด ท่านจะลงโทษเราโดยทันทีเพื่อให้เราหลาบจำ และไม่กระทำความผิดนั้นๆอีกในอนาคต ดิฉันเองนั้นคิดถึงแม่มากที่สุดในวันที่ดิฉันมีครรภ์ ดิฉันระลึกได้ทันทีว่าแม่ต้องอดทนมากเพียงใดกับการอุ้มครรภ์ ดูแลครรภ์ให้ดีที่สุด เพื่อลูกในครรภ์จะมีสุขภาพดีทั้งกายและใจในอนาคต แม่และพ่อของดิฉันท่านทำดีให้ดู เป็นครูให้เห็น ครอบครัวดิฉันเป็นครอบครัวใหญ่ มีพี่น้อง8 คน พ่อแม่จึงต้องทำงานหนักมากเพื่อดูแลลูกๆ ทุกคนให้ดีที่สุด ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวย เราทุกคนต้องช่วยกันทำงานบ้าน และต้องช่วยกันหารายได้เพื่อให้ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ดี ดิฉันมาจากครอบครัวคนจีนที่มาตั้งรกรากบนแผ่นดินไทยบรรพบุรุษทุกคนของดิฉันสั่งสอนอบรมลูกหลานตลอดเวลาว่า ต้องกตัญญูต่อแผ่นดินไทย และต้องเทิดทูนพระเจ้าแผ่นดิน เพราะสองสิ่งนี้สำคัญทำให้ครอบครัวของเราอยู่เย็นเป็นสุขเสมอมาดังนั้นดิฉันจึงเชื่อเสมอมาว่าการปลูกฝังความคิดดีงามให้กับเด็กและเยาวชนต้องเริ่มมาจากครอบครัวเป็นอันดับแรก ส่วนตัวดิฉันเองนั้นเมื่อตอนเด็ก คุณแม่สนับสนุนให้เรียนหนังสือท่านบอกเสมอๆ ว่า เกิดเป็นลูกผู้หญิง ยิ่งต้องเรียนหนังสือให้มาก เพราะวิชาความรู้จะเป็นเครื่องช่วยให้ชีวิตของเราดีขึ้น แล้วจะสามารถช่วยเหลือสังคมได้ตามกำลังความรู้ของเรา แม้ครอบครัวดิฉันเป็นคนต่างจังหวัด ที่ค่อนข้างจะหาที่เรียนให้กับลูกหลานผู้หญิงได้ยาก แต่ท่านก็ส่งเสียให้ดิฉันได้ร่ำเรียน ตอนเด็กๆ ดิฉันเรียนโรงเรียนวัด เพราะเป็นแหล่งศึกษาที่เดียวที่ใกล้บ้านมากที่สุด ซึ่งดิฉันได้รับความรู้มากมายจากวัดดังนั้นจึงมีความผูกพันกับวัด และเชื่อมั่นว่าวัดคือแหล่งอบรมบ่มเพาะให้เยาวชนของเราเป็นคนดีได้ดิฉันได้รากฐานการศึกษามาจากโรงเรียนวัด และได้รับการตอกย้ำจากคุณแม่เสมอๆ ว่า เป็นลูกผู้หญิงต้องดูแลตัวเองให้ดี ต้องเรียนหนังสือให้มาก เพราะนี่คืออาภรณ์สำคัญของชีวิตมนุษย์ และเมื่อมีความรู้มีการศึกษาแล้วก็ต้องนำไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และเพื่อนร่วมโลกทุกชนิด ดิฉันจึงถือว่าแม่และพ่อคือพระประจำบ้าน ดิฉันอยากให้ลูกๆ ทุกคนกราบไหว้พระประจำบ้านของตนเองทุกวัน และขอให้เทิดทูนท่านไว้ตลอดเวลา และอยากให้ลูกหลานทุกคนระลึกถึงพระคุณของปู่ย่าตายายด้วย เพราะทุกท่านมีบุญคุณต่อเราอย่างล้นเหลือ ดิฉันถูกสอนว่า แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการ เลือกจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีก็อยู่ที่การตัดสินใจของเราทั้งสิ้น
กราบเรียนถามคุณหญิงว่า สำหรับครอบครัวไทยในยุคหลังๆ นี้ ความเป็นครอบครัวขยายมันหดหายไป คนไทยจำนวนมากในยุคหลังๆ อยู่กันแบบครอบครัวเดี่ยวทั้งพ่อและแม่ต้องช่วยกันทำงานหนักเพื่อหาเงินสำหรับดูแลครอบครัว ลูกๆ จึงขาดการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ คุณหญิงจะกรุณาแนะนำอย่างไรสำหรับคนที่อ้างว่าไม่มีเวลาดูแลลูก แล้วจะทำอย่างไรให้สายสัมพันธ์ในครอบครัวกลับมาแนบแน่นเหมือนอดีต
คุณหญิงกัลยา : บอกตามตรงว่าดิฉันเสียดายมากที่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวของไทยในระยะหลังๆ ไม่แนบแน่นเหมือนเก่า แน่นอนว่าสภาพสังคมไทยเปลี่ยนไปมาก ทุกคนต้องช่วยกันทำมาหากินเพื่อให้มีเงินสำหรับดูแลลูก เมื่อความสัมพันธ์ในครอบครัวหายไป การถ่ายทอดความรัก ความอบอุ่น และการส่งต่อศิลปวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของไทยจึงสะดุดหยุดชะงักลง สังคมไทยยุคนี้เปลี่ยนไปมาก เพราะขาดผู้ถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยให้ลูกหลาน ครอบครัวไทยวันนี้เป็นครอบครัวเดี่ยว ในบ้านไม่มีปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ความใกล้ชิดระหว่างคนในครอบครัวจึงจางหายไป และมีอีกสิ่งคือเทคโนโลยีได้ถาโถมเข้ามาทุกวัน ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปรวดเร็วมาก ประกอบกับพ่อแม่ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูก ลูกต้องอยู่กับพี่เลี้ยงหรือสถานรับเลี้ยงเด็กนี่คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความรัก ความอบอุ่นความผูกพันในครอบครัวลดลงและหายไป แล้วยังทำให้การสั่งสอนเรื่องความกตัญญูกตเวทิตา การรู้คุณคน รู้คุณของแผ่นดินไทย และรู้คุณของพระเจ้าแผ่นดินหายไปหมด เพราะไม่มีการถ่ายทอดความคิดนี้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดิฉันจึงวางนโยบายนำสิ่งดีงามของสังคมไทยกลับคืนมาและหวังให้ทุกคนช่วยกันนำสิ่งดีๆ กลับคืนมาสิ่งเหล่านี้คือต้นทุนของสังคมของไทย บ้านเมืองของเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม และศิลปะต่างๆ ที่งดงาม จนต่างชาติชื่นชม เราเคยถูกอบรมเรื่องความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความรักต่อกันฉันพี่น้องร่วมประเทศ เราเห็นอกเห็นใจกัน พึ่งพาอาศัยกันและกัน นั่นคือรากเหง้าที่งดงามของสังคมไทย เราใช้ความเห็นอกเห็นใจกันและกันแก้ปัญหาบ้านเมืองให้ลุล่วงไปได้โดยตลอด เพราะเราร่วมมือร่วมใจกัน เหล่านี้คือวัฒนธรรมของไทย เราถูกสั่งสอนอบรมให้รักและกตัญญูต่อแผ่นดิน ต่อครูบาอาจารย์ ต่อผู้บังเกิดเกล้าต่อทรัพยากรธรรมชาติ เราทุกคนเติบโตขึ้นมาเพราะว่าเรามีกินมีใช้บนแผ่นดินทองแผ่นดินธรรมแห่งนี้ แผ่นดินของเราอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรอันมีค่า สิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับการปลูกฝังจากพ่อแม่ปู่ยาตายายให้เราทุกคนยึดมั่นในสิ่งดีงามนี้ แต่เมื่อสังคมยุคปัจจุบันขาดผู้อบรมบ่มเพาะ ขาดผู้ถ่ายทอดความดีงามให้เยาวชนคนรุ่นหลัง เด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยของเราจึงไม่เห็นคุณค่าของสิ่งดีงามที่มีอยู่ในบ้านเมืองของเรา เมื่อขาดการซึมซับสิ่งดีงาม แล้วยังถูกเทคโนโลยีถาโถมเข้าใส่แบบไม่ทันได้ตั้งตัว ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่ปู่ยาตายายก็หายไป เด็กจำนวนไม่น้อยอยู่กับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ตลอดเวลา ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์จึงลดลงแล้วหายไป ความสุขของคนในสังคมไทยยุคนี้จึงดูเสมือนว่าลดน้อยลงกว่าในอดีตเพราะปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์หายไปมาก ดิฉันมีข้อมูลจากงานวิจัยของสหรัฐฯ ที่ทำต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 75 ปี ยืนยันว่า มนุษย์มีความสุขจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ดังนั้นมนุษย์ที่อยู่กับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ตลอดเวลาจึงไม่มีความอบอุ่นเหมือนกับอยู่กับมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์นั้นแม้จะต้องใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการทำงาน แต่ก็ต้องไม่ลืมความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ต้องไม่ทิ้งรากเหง้าที่ดีงามของตนเอง ต้องรักษาศิลปวัฒนธรรมขนบประเพณีที่ดีงามของตนไว้ โดยต้องให้ทั้งศิลปวัฒนธรรมและเทคโนโลยีเดินคู่ขนานกันไป เพื่อให้สังคมของเราเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงแท้จริงสังคมใดที่ขาดรากเหง้า สังคมนั้นไม่มีความมั่นคง
กราบเรียนคุณหญิงช่วยกรุณาเล่าความต่างระหว่างการอบรมเลี้ยงดูลูกในสมัยคุณหญิงยังเป็นเด็ก กับในช่วงที่คุณหญิงเป็นคุณแม่ด้วยครับ แตกต่างกันหรือเหมือนกันในเรื่องใดบ้าง
คุณหญิงกัลยา : สมัยดิฉันเป็นเด็ก ดิฉันอยู่กับธรรมชาติมาก เพราะเราเป็นคนต่างจังหวัด ดิฉันเคยเป็นยุวเกษตรกร ต้องช่วยหารายได้ให้ที่บ้านด้วยการเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ ปลา และปลูกผักเอง สำหรับกินและขายเพื่อหารายได้เสริม เราอยู่กันเป็นกงสี มีกินมีใช้ร่วมกัน แต่เราก็ต้องหาเงินพิเศษสำหรับการใช้จ่ายอื่นๆ เช่น เพื่อซื้อเสื้อผ้าสวย ๆหรือเพื่อมีขนมกินเพิ่มเติม เมื่อเราอยู่กับธรรมชาติตลอดเวลา เราก็ผูกพันกับธรรมชาติเห็นคุณค่าของธรรมชาติ รู้จักบุญคุณของธรรมชาติ เพราะถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้วเราก็คงไม่สามารถมีชีวิตที่สุขสบายได้ เราถูกสอนให้รู้จักบุญคุณของแผ่นดิน ของดินและน้ำรวมถึงต้นไม้ทุกต้น และขอบคุณสัตว์ร่วมโลกที่ช่วยให้เรามีอาหารที่สมบูรณ์ ทุกสิ่งเหล่านี้หล่อหลอมดิฉันมาตลอด ผสมกับคำสอนและการแสดงให้เห็นของพ่อแม่ นี่คือการเลี้ยงดูของดิฉันในยุคก่อน เมื่อทำผิดก็ถูกลงโทษแล้วได้รับการอบรมโดยทันที แต่สิ่งเหล่านี้ขาดหายไปจากสังคมไทยในหลายครอบครัว พ่อแม่กับลูกไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกันมากนัก เมื่อลูกทำสิ่งใดผิดก็ขาดผู้อบรมสั่งสอนโดยทันที เด็กจึงไม่เข้าใจว่าตนเองทำผิด แล้วติดนิสัยนั้นไปเรื่อยๆ เราต้องเข้าใจว่าเด็กคือเด็ก เขาต้องการความรัก และการอบรมในสิ่งที่ดีงาม ดิฉันขออนุญาตกราบเรียนว่า พ่อแม่ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน มีความรู้มากหรือน้อยก็ตามแต่พ่อแม่รักลูกไม่ต่างกัน รักโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆเวลาลูกมีปัญหาใดๆ หัวใจของพ่อแม่แทบแตกสลายพ่อแม่ให้ความสำคัญกับลูกเสมอ ดังนั้นอยากให้ลูกทุกคนระลึกสิ่งนี้ตลอดเวลา ลูกบางคนอาจมองว่าพ่อแม่ไม่เก่งเท่าเรา ไม่มีความรู้เท่าเราแต่ต้องรู้ว่าพ่อแม่รักเรามากที่สุดในโลก เวลาพ่อแม่ปู่ย่าตายายอบรมสั่งสอนลูกหลาน ของให้ลูกหลานรู้เถอะว่าทุกอย่างทำด้วยความรักและหวังดีอย่างที่สุด ดังนั้นแม้พ่อแม่จะบอกว่าไม่มีเวลาให้ลูก เพราะต้องทำงานหาเงินทุกวัน ก็ต้องไม่ลืมให้เวลากับลูกทุกวัน แม้จะวันละไม่นานนักก็ต้องให้เวลา แล้วพูดคุยกับลูกทำให้ลูกรู้และเข้าใจว่าพ่อแม่รักลูกมาก เวลาลูกมีปัญหาอะไรสามารถบอกพ่อแม่ได้ตลอดเวลา ขอให้คิดว่าพ่อแม่อยู่กับลูกทุกวินาที แบบนี้ลูกจะไม่อ้างว้าง ไม่โดดเดี่ยว และจะคิดถึงความรักของพ่อแม่ทุกเวลา ดิฉันเองนั้น เมื่อวันที่มีลูก ดิฉันก็ให้เวลากับเขามากที่สุด แม้จะมีงานอื่นต้องทำ แต่ก็ไม่เคยลืมเวลาสำหรับลูกเมื่อเขายังเป็นเด็กดิฉันก็จะทำตัวเป็นแม่ เมื่อเขาโตขึ้นมาก็ทำตัวเป็นพี่ เมื่อเขาเป็นวัยรุ่น ดิฉันทำตัวเป็นเพื่อนของลูก ทำให้ลูกไว้วางใจ และเปิดใจกับเราได้ทุกเรื่อง และทำให้เขาเห็นเป็นตัวอย่าง เวลาไปทำงานบางอย่างที่สามารถนำลูกไปด้วยได้ ก็จะนำเขาไป เช่น ไปปลูกต้นไม้ ไปทำสาธารณประโยชน์ ก็นำเขาไป เขาก็ซึมซับตลอดเวลา แล้วเข้าใจว่าเรากำลังทำงานอะไร เขาก็เห็นเป็นต้นแบบของเขาด้วย ตอนลูกของดิฉันยังเป็นเด็ก เวลาเขาทำอะไรผิด ดิฉันก็ลงโทษเขาทันที แล้วสอนเขาว่าทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งผิด แต่ดิฉันเน้นการทำตัวอย่างให้เขาเห็นมากกว่าการสอนด้วยคำพูดซึ่งก็ได้ผลดีต่อเขา เพราะลูกจดจำและเข้าใจได้ดีกว่าแล้วลูกก็นำสิ่งที่เห็นจากเราไปเล่าให้เพื่อนๆ ที่โรงเรียนฟัง แล้วทำเป็นโครงการเล็กๆ เพื่อนำเสนอครูประจำชั้น เช่น โครงการปลูกต้นไม้โครงการทำสวนป่า เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการเรียนรู้จากของจริง และนำไปทำต่อไปด้วย
ขอความกรุณาคุณหญิงช่วยย้ำอีกครั้งสำหรับคุณแม่ที่อ้างว่าไม่มีเวลาดูแลลูก เพราะต้องทำงานหนักมาก ว่าต้องทำอย่างไรดี
คุณหญิงกัลยา : แม้จะบอกว่าไม่มีเวลาเลยก็ต้องแบ่งเวลาให้ลูกให้ได้ แค่วันละ 20-30 นาทีก็พอ ต้องทำให้ลูกรู้ว่าเรารักเขามาก เราคือเพื่อนของเขา เวลาอยู่กับลูกก็ขอให้กอดลูกแล้วบอกว่ารักลูกมาก บอกลูกว่าแม่ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกเป็นคนดี เวลาลูกมีปัญหาใดๆ ขอให้บอกแม่ บอกแม่ได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องปิดบังกัน หอมแก้มลูกบ่อยๆ กอดลูกทุกวัน บอกรักทุกครั้ง แม้เวลาอยู่ห่างกันก็สามารถโทรศัพท์หรือใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ติดต่อกับลูกได้ตลอดเวลา แล้วบอกลูกว่า ลูกคือหัวใจของแม่ คือความหวังของแม่ และขอให้ลูกเป็นคนดี หากมีเวลามากขึ้นในวันหยุดหรือโอกาสพิเศษก็พาเขาไปสัมผัสธรรมชาติบ้าง ให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขารักสายน้ำ รักดินรักป่า รักสรรพสัตว์ทุกชนิด ขอเน้นว่าดิฉันเข้าใจว่าแม่ในยุคนี้ต้องทำงานหนักเพื่อลูก แต่ก็ต้องไม่ทิ้งลูกให้อ้างว้างจนลูกไม่เข้าใจความรักของแม่ เน้นว่ากอดลูกบ่อยๆบอกรักทุกครั้งและบอกเสมอๆ ว่าแม่รักลูกแม่คือเพื่อนของลูก มีอะไรให้บอกแม่ทุกเรื่องอย่าปิดบังแม่
คุณจะได้พบกับรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความบันเทิง รายการแนวหน้าวาไรตี้ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์ TNN 2ช่อง 784 ดิจิทัลทีวี หรือ True Visions 8 และชมรายการ ย้อนหลังได้ที่ YouTube แนวหน้าวาไรตี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี